...ต่อไปนี้เป็นบทความสั้น...นิยายเรื่องจริง ของ อ.อรุณ ลำเพ็ญ ที่เขียนใน "โฮ๋ราสาด "
..."โฮ๋ราสาด" เป็นเรื่องจริงเขียนให้อ่านเล่น ถ้าอ่านเล่นก็จะได้รับความสนุกเพลิดเพลินเล่นๆ ถ้าอ่านจริงก็จะได้รับสาระความรู้ที่แท้จริง...โหราศาสตร์นอกคอก แต่ไม่นอกครู...
...ยามอัฎฐกาล...
วันนี้ ครูก้อนไปรับเบี้ยบำนาญ เสร็จแล้วก็แวะมาหาผมตั้งแต่เพลมีส้มสูกลุกไม้ติดมือมาฝากผมห่อใหญ่ตามประสาคนใจนักเลง และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือใบชาชั้นดีที่จะถวายหลวงตาชื้น ครูก้อนแกกระทำเป็นกิจวัตรทุกต้นเดือนที่ไปรับเงินบำนาญ ด้วยเหตุนี้แม้ผมจะถูกขัดคอจังๆ ก็โกรธแกไม่ลงสักครั้งเดียว เพราะนึกถึงคุณงามความดีของเพื่อน...
ทั้งสนทนาและวิสัชนาเรื่องโหราศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องคุยกันไม่รู้จบกระทั่งเที่ยงคล้อยต่างก็ชวนกันไปกุฏิหลวงตาเช่นเคยเหมือนวันก่อนๆ...
พอก้าวขึ้นกุฏิไม่เห็นหลวงตา เห็นแต่เณรชั้วนั่งขัดสมาธิข้างอาสนะประจำที่ของหลวงตา เบื้องหน้ามีสตรีวัยกลางคนนั่งพับเพียบเรียบร้อย พอเณรเหลียวเห็นผมกับครูก้อนเข้ามาใกล้ก็กระเถิบห่างอาสนะออกมากระดากๆ คงเกรงจะถูกหาว่าตีเสมอหลวงตา...
“หลวงตาไปสวดมนต์และฉันเพลงานทำบุญบ้านนายอำเภอ”
เณรชั้วรีบบอกก่อนถูกถาม แล้วพยักหน้าไปทางสตรีวัยกลางคน “แม่บุญปลูก เขามาหาหลวงตา มีธุระเดือดร้อนมา ไม่พบหลวงตา จะให้ฉันช่วยดูให้ หมอเถากะครูมาก็ดีแล้ว ช่วยสงเคราะห์เขาสักหน่อยเถอะ”
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เณรทายอยู่แล้วไม่ใช่เร๊อะ”ครูถามยิ้มๆเพราะรู้นิสัยเณรชั้ว ว่าหลวงตาไม่อยู่มักชอบตั้งตัวเป็นโหรแทนหลวงตาเสมอ...
เณรชั้วยิ้มอายๆ เหมือนหญิงสาว “ทายลักษณะเขา รอๆหลวงตาน่ะ”
“อ้อ แม่บุญปลูก” ผมทักเพราะจำได้ว่าบ้านแกอยู่ท้ายตลาด...
“รอพบหลวงตาไม่ดีกว่าเร๊อะ อีกสักครู่ก็คงจะกลับหรอก”
“ฉันรอไม่ได้ มันกำลังมีเรื่องร้อนใจเหลือเกิน” แม่บุญปลูกยกมือไหว้อ่อนน้อมน่ารัก “พ่อหมอเถา เมตตาช่วยดูให้สักหน่อยเถอะจ้ะมันเดือดร้อนจริงๆ”
ครูก้อนชายตาสบตาแม่บุญปลูก “เธอบอกวันเดือนปีและเวลาเกิด กี่โมงกี่ยาม ฉันจะลองผูกดวงชะตา ช่วยกันดูสงเคราะห์ทุกข์แม่บุญปลูก พอได้บ้าง”
“วันเดือนปีฉัน แม่แกไม่ได้จด มาตอนโตเป็นสาวนั่นแหละถึงได้รู้เพราะจะดูเนื้อคู่ แกจำๆเอา จำได้ว่าปีที่เขารบกันในกรุงเทพฯ " อีตอนที่เปลี่ยนจากในหลวงมาเป็นมีทายกรัฐบาลนั่นแหละ "
“เขาเรียกนายกรัฐมนตรีจ้ะ อ้ายทายกนั่นมันพวกวัดๆบ้านเรา”ผมท้วงแสดงภูมิ แล้วหันมาทางครูก้อน “ครูเคยเล่าเรียนมาลองนึกประวัติศาสตร์มันปีไหน "
“ใช่จ้ะครู ฉันเกิดปีจอนี่แหละ แม่แกเลยเรียกฉันว่าอีหมาๆมาแต่เล็กๆ”
“แล้วเดือนล่ะ” ผมช่วยซัก...
“แม่แกบอกว่าตอนเขาทอดกฐินกันที่วัดข้างบ้านน่ะแหละ”
“พระออกพรรษาวันแรม1ค่ำเดือน 11 ก็เห็นจะเป็นเดือนตุลาคม
ผมถนัดเรื่องเก่าๆก็เลยเดาเสียเองแล้วก็ถามต่อ “แล้ววันล่ะแม่บุญปลูก”
“วันประหัส” แม่บุญปลูกตอบทันใจ
“เวลาเกิดล่ะทีนี้ เวลานี่ล่ะสำคัญนัก” ครูก้อนกระเถิบเข้ามา
ถามใกล้ๆดูคล้ายๆกับจะชิงเอาหน้า...
“แม่บอกว่าจำทุ่มยามไม่ได้เพราะไม่มีนาฬิกา จำได้แต่ว่า ตอนพระจันทร์ขึ้นขอบฟ้าพอดี "
“ครูก้อนเกาหัวแกร็ก “เสร็จกัน เลยผูกดวงไม่ได้ฉิบ พระจันทร์
ขึ้นขอบฟ้าใครจะไปรู้ว่ามันกี่ทุ่ม”
“รู้ซีน่ะ” ผมรีบค้านแสดงความรู้อย่างภาคภูมิ “มันต้องใช้ทางโบราณคำนวณ ไม่ยากหรอกหรือจะคิดง่ายๆก็คือวันเพ็ญข้างขึ้น...
15 ค่ำพระจันทร์ขึ้นตั้งแต่ 6 โมงเย็น แล้วพระจันทร์จะขึ้นล่าไปวันละประมาณ 48 นาที ถ้ารู้ขึ้นแรมก็รู้เวลาได้แน่”
ครูก้อนท้วง “แล้วมันวันพฤหัสไหน กี่ค่ำ เพราะในเดือน 11 .มันมีตั้ง 4 พฤหัส ขึ้นก็มีแรมก็มี”
“เออ-จริงของครู เสร็จกัน” ผมอ้าปากนับค้างจนมุมเอาตรงนี้เอง...
“แม่บุญปลูกแกจะมาดูเรื่องของหาย” เณรชั้วแนะนำ “หมอเถา พอจะมีทางอื่นจะช่วยพยากรณ์ได้ไม๊ ฉันเคยเห็นหลวงตาท่านใช้จับยาม”
“งั้นได้การ” ผมดีดมือพัวะ “ไม่รู้เสียแต่แกว่าเป็นเรื่องของหาย นึกว่าจะดูโชคเคราะห์มันต้องผูกดวง แม่บุญปลูกขึ้นกุฏิมาตั้งแต่เมื่อไร”
เณรเหลือบมองนาฬิกาแมงดาข้างฝา แล้วตอบแทน “สักบ่ายโมงเศษๆเห็นจะได้ หมอเถา”
“วันนี้วันพฤหัส” ผมนับนิ้วมือไล่ยาม “ครุ ภุมมะ สุริชะ ศุกระพุทธะ บ่ายโมงเศษตกยามพุธ”
“พบหรือไม่พบจ๊ะหมอเถา” แม่บุญปลูกรีบซักเพราะกำลังร้อนใจ...
“เดี้ยวอย่าพึ่งซัก” ผมว่าโฉลกยามคล่องปาก “เสาร์ระวิพุทธา
ยามทั้งนี้นา แม้ดูโรคาว่าตาย บอกกล่าวจริงบ่คลาย แม้ข้าวของหาย
ทายว่าจะได้คืนคง”
สีหน้าแม่บุญปลูกมีเลือดมีฝาดขึ้นทันทีเมื่อฟังข้อความตอนท้าย
“ได้แน่ไหม หมอเถาจ๋า”
ผมกำลังวางมาดหยิบกลักบุหรี่ใบจากจะมวนสูบ พอได้ยินคำ
หมอจ๋าฉุนกึก กระแทกกลักบุหรี่กับพื้น กุฏิดังโปก
“เรียกหมอเฉยๆก็ได้ อ้ายคำหมอจ๋าหมอขานี่ขอเสียที เดี๋ยวเลยไม่ต้องดูกัน”
“อุ๊ย ขอประทานโทษฉันไม่ตั้งใจ” แม่บุญปลูกคนมืออ่อนยกมือไหว้อีกแถมยิ้มแย้มจนเห็นฟันทอง “หายไปได้เจ็ดวันแล้วจ้ะหมอเถา ฉันจะตามพบทิศไหน และจะได้คืนเมื่อไหร่”
“ยามเขาบอกว่าได้แน่” ผมถูกรุกกระชั้นไม่ทันตั้งตัวต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตัวยามมันตกพุธก็ต้องทิศใต้ เลขพุธมันเลข 4 ก็ภายใน 4 วันนี้แหละ”
ครูก้อนไม่ถนัดทางยามของเก่าๆ จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังผมทายเป็นพระเอกอยู่คนเดียว...
“พุธตัวนี้มันธาตุน้ำ” ผมจัดแจงพยากรณ์ต่อเพราะนึกถึงคำสั่งสอนของหลวงตาว่าให้อ่านดาวให้ละเอียด “ของหายรายนี้ มันน่าจะถูกซุกอยู่ที่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ แม่บุญปลูกลองหาดูอาจพบก็ได้”
“คงไม่มีแน่ๆ จ้ะหมอเถา” แม่บุญปลูกปฎิเสธทันที ทั้งๆที่กำลังกลุมแกก็หัวร่อคิกคัก “ไม่ต้องหาให้เสียเวลาเปล่าๆ”
ผมฟังแม่บุญปลูกคัดค้านเอาง่ายๆ ซ้ำหัวเราะชักนึกเคืองๆ จึงยืนยันมั่นคง “ต้องอยู่ในน้ำแน่ๆ มันต้องมีคนลักเอาไปซ่อน ถ้าไม่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ ก็ต้องคลองหรือแม่น้ำ เอากันว่ายังไงๆ มันก็ต้องอยู่ในน้ำก็แล้วกัน”
แม่บุญปลูกยิ่งหน้าเป็นหนักขึ้น หัวร่อร่วน “หมอเถาจ๊ะที่ว่าหายน่ะ พี่ทิดผัวฉันเอง หายจากบ้านไปเจ็ดวันแล้วไม่รู้หายไปไหน ไม่ได้ข่าวเลย ถึงต้องมาดูหมอ”
“บ๊ะ แล้วกัน” ผมผงะแทบหงายหลังตกนอกชานกุฏิ รู้สึกอายจนหน้าชาที่พลาดไปถนัดใจ
ครูก้อนนั้นรักษามารยาทครูเก่า กัดริมฝีปากแน่นกลั้นหัวเราะไว้ข้างเณรชั่วปล่อยก๊ากเต็มสตีมไม่ยั้ง
“อาจเมาตายตกน้ำตกท่ามีอันตรายหรือลงเรือแพไปกับเพื่อนฝูงก็ได้ ควรลองสืบๆดูน๊ะ” ครูก้อนหาทางออกเพื่อช่วยกู้หน้าเพื่อนเอาไว้...
“ครูไม่น่ามาแช่งผัวฉันเลย” แม่บุญปลูกแกจัดจ้านพอตัว “ถ้าอยู่ในน้ำ 7 วัน อย่างหมอเถาว่า ป่านนี้น่าลอยน้ำรู้ข่าวกันทั้งเมืองไปแล้วเรื่องไปเรือก็ไม่มีทางเลยครู”
เณรชั้วที่ลุกไปเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่หน้าต่าง หันมาเรียก “แม่บุญปลูกดูเหมือนน้องสาวที่บ้านจะมาตาม กระมัง”
แม่บุญปลูกเหลียวมองดูทางประตูนอกชานกุฏิ สักครู่หญิงสาวผิวสะอาดสะอ้านหน้าตาละม้ายแม่บุญปลูกก็เข้าประตู มานั่งข้างๆ กระซิบกระซาบกันสองคนพี่น้องอยู่พักใหญ่ๆ แม่บุญปลูกฟังพยักเพยิด เมื่อแรก ดูสีหน้าปิติยินดี แล้วก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด เหมือนคนกำลังจะเป็นลม...
“ฉันเห็นจะต้องลาหมอทีละ ไม่ต้องดูหมอแล้ว” แม่บุญปลูก หันมายกมือไหว้ลาผมและครู สังเกตเห็นนัยน์ตาแดงๆน้ำตาคลอ...
“อ้าวทำไมล่ะ แม่บุญปลูก” ครูถาม
“ฉันได้ข่าวพี่ทิดแล้ว”
“พบที่ไหน ยังไง ขอทราบหน่อยเถอะ ฉันเองก็อยากรู้ว่ายามของหมอผิดหรือถูก”
“ไม่ได้พบในน้ำแน่” แม่บุญปลูกพูดเสียงเยาะๆ และนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เหมือนตรึกตรองตัดสินใจ “คนเขามาส่งข่าวว่าพี่ทิดไปได้เมียใหม่อยู่ที่บ้านดอน เป็นสาวรุ่นเด็่กชื่อนางวารี เลยกกกันอยู่ที่บ้านนังเมียเด็ก ”
“อ๊ะ นังเมียเด็กนั่นชื่ออะไรน๊ะ” ผมเอะใจย้อนถามทันควัน
“ชื่อ นังวารี”
“เห็นไม๊ล่ะ” หมอเถา “วารี มันก็แปลว่าน้ำ ยามของหมอถูกเผ็งเทียวแหละ”
ตั้งแต่คบกันมาหลายปี เพิ่งเห็นครูก้อนหัวเราะลงลูกคอเต็มเสียงวันนี้ จนกระทั่งสองสตรีพี่น้องลงลับกุฏิไปแล้ว ครูก้อนหัวเราะไม่หยุด คอสองคือเณรชั้วหัวเราะจนตัวงอพาดหน้าต่าง ทำให้ผมต้องหัวเราะตามไปด้วย...
...พบกันใหม่ใน นิยายจากชีวิตจริง + บทความ + บทเรียน ต่อไป...กันนะครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น