วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ดวงเทวีโชคหรือดวงยาจกโชคดี?






 ...ดวงเทวีโชค...

...ดวงที่ปรากฏอยู่นี้เป็นดวงมาตราฐานตำแหน่งเทวีโชค...
...ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตรงกันข้ามกับดวงราชาโชค...
...ความหมายย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปคนละด้าน...คนละมุม...แต่ความหมายหลักคล้ายคลึงกัน...
...ดวงราชาโชคจากสถิติ...มักเป็นที่รักของสมณะ ผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ฯลฯ ซึ่งเป็นเพศชาย...
...ดวงเทวีโชคจากสถิติ...มักเป็นที่รักของแม่ชี ผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ ซึ่งเป็นเพศหญิง...
...เรื่องหลักๆ ก็เห็นด้วยกับการตั้งดวงมาตราฐานนี้ว่าเป็นดวง " ดวงเทวีโชค "


...เพราะเมื่อภพตนุเป็นเพศชาย ตรงกันข้ามคือปัตนิก็ย่อมต้องเป็นเพศหญิงอย่างแน่นอน...

...ถ้านับเพศตามระบบของ อ.พลูหลวง ท่านก็ว่าไว้ดังนี้...


...ถ้าภพตนุเป็นเพศชาย ให้เริ่มนับทีละ ๒ ราศีคือ...
...ภพตนุ + กฎุมภะ เป็นเพศชาย
...ภพสหัชชะ + พันธุ เป็นเพศหญิง
...ภพปุตตะ + อริ เป็นเพศชาย
...ภพปัตนิ + มรณะ เป็นเพศหญิง
...ภพศุภะ + กัมมะ เป็นเพศชาย
...ภพลาภะ + วินาสน์ เป็นเพศหญิง


...สังเกตุได้ว่าภพตนุตรีโกณกับภพ ศุภะ [ พ่อ]

...ทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ย่อมยืนยันได้ว่าภพตรงกันข้ามย่อมมีความหมายในลักษณะนี้...

...แต่ก็มีโหรรุ่นครูบาอาจารย์บางท่านได้กล่าวไว้ว่า...

...เมื่อดวงเทวีโชคอยู่ตรงกันข้ามกับดวงราชาโชคแล้วไซร้ ให้ตั้งเป็นดวงยาจกโชคถึงจะถูกต้อง...
...ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของโหรเก่าท่านนี้...

...เรามาดูดาวตำแหน่งเทวีโชคกันทีละดวงเริ่มจาก...

...ดาว ๑ อยู่ราศีธนู เรือนของดาว ๕ ซึ่งเป็นคู่มิตร แถมยังอยู่ในธาตุไฟอีก...แบบนี้ดีแน่...
...ดาว ๒ อยู่ราศีมีน เรือนของดาว ๕ ซึ่งเป็นคู่ธาตุ เป็นพ่อ - ลูกกัน...ก็ไม่เลวอีก...
...ดาว ๓ อยู่ราศีพฤศจิกเรือนของดาว ๓ เองเป็นเกษตร ธาตุของตัวเองอีก...โอเคเลย...

...ดาว ๔ อยู่ราศีกุมภ์เรือนของราหู ก็ไม่เป็นไรนัก เพราะตามทักษาท่านว่า...

...ราหูเป็นศรี [ ศิริมงคล ] ของดาว ๔ ยังไงละครับ...ยังมีดาว๗ ก็เป็นเจ้าเรือนด้วย...
...ดาว ๔ + ดาว ๗ ได้คู่สมพล...อย่างนี้ควรต้องดีได้ละนะ...

...ดาว ๕ อยู่ราศีตุลย์ เรือนของดาว ๖ ...ดาว ๕ + ๖ ได้คู่ช่วยเหลืออีก...เท่ากับไม่เสียอะไร...

...ดาว ๖ อยู่ราศีมังกร เรือนของดาว ๗ เรือนศัตรู ถ้าจะไม่ค่อยดีนัก...
...แต่ดาว ๖ เป็นศรีของดาว ๗ = เจ๊ากันไปครึ่งๆ...

...ดาวเสาร์ อยู่ราศีพฤศภเรือนของดาว ๖ ก็ทำนองเดียวกับดาว ๖ อยู่เรือน ๗ เจ๊ากันไปอีก...

...ราหู อยู่ราศีเมษ เรือนของดาว ๓ ได้คู่สมพลอีกก็ไม่เลวร้ายนัก...




... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...


...ตกลง ดูๆ แล้วผมว่าก็น่าจะเรียกว่า" ดวงเทวีโชค " ก็น่าจะดีอยู่แล้วนะครับ...

...พบกับ บทความ + บทเรียน + นิยายโหราศาสตร์ ในบทต่อไปนะครับ...สวัสดี...


... เขียนโดย อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...








วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ยามอัฏฐกาล


...ต่อไปนี้เป็นบทความสั้น...นิยายเรื่องจริง ของ อ.อรุณ ลำเพ็ญ ที่เขียนใน "โฮ๋ราสาด " 
..."โฮ๋ราสาด" เป็นเรื่องจริงเขียนให้อ่านเล่น ถ้าอ่านเล่นก็จะได้รับความสนุกเพลิดเพลินเล่นๆ ถ้าอ่านจริงก็จะได้รับสาระความรู้ที่แท้จริง...โหราศาสตร์นอกคอก แต่ไม่นอกครู...


                                                           ...ยามอัฎฐกาล...



วันนี้ ครูก้อนไปรับเบี้ยบำนาญ เสร็จแล้วก็แวะมาหาผมตั้งแต่เพลมีส้มสูกลุกไม้ติดมือมาฝากผมห่อใหญ่ตามประสาคนใจนักเลง และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือใบชาชั้นดีที่จะถวายหลวงตาชื้น ครูก้อนแกกระทำเป็นกิจวัตรทุกต้นเดือนที่ไปรับเงินบำนาญ ด้วยเหตุนี้แม้ผมจะถูกขัดคอจังๆ ก็โกรธแกไม่ลงสักครั้งเดียว เพราะนึกถึงคุณงามความดีของเพื่อน...

ทั้งสนทนาและวิสัชนาเรื่องโหราศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องคุยกันไม่รู้จบกระทั่งเที่ยงคล้อยต่างก็ชวนกันไปกุฏิหลวงตาเช่นเคยเหมือนวันก่อนๆ...

พอก้าวขึ้นกุฏิไม่เห็นหลวงตา เห็นแต่เณรชั้วนั่งขัดสมาธิข้างอาสนะประจำที่ของหลวงตา เบื้องหน้ามีสตรีวัยกลางคนนั่งพับเพียบเรียบร้อย พอเณรเหลียวเห็นผมกับครูก้อนเข้ามาใกล้ก็กระเถิบห่างอาสนะออกมากระดากๆ คงเกรงจะถูกหาว่าตีเสมอหลวงตา...

“หลวงตาไปสวดมนต์และฉันเพลงานทำบุญบ้านนายอำเภอ”
เณรชั้วรีบบอกก่อนถูกถาม แล้วพยักหน้าไปทางสตรีวัยกลางคน “แม่บุญปลูก เขามาหาหลวงตา มีธุระเดือดร้อนมา ไม่พบหลวงตา จะให้ฉันช่วยดูให้ หมอเถากะครูมาก็ดีแล้ว ช่วยสงเคราะห์เขาสักหน่อยเถอะ”

“เมื่อกี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เณรทายอยู่แล้วไม่ใช่เร๊อะ”ครูถามยิ้มๆเพราะรู้นิสัยเณรชั้ว ว่าหลวงตาไม่อยู่มักชอบตั้งตัวเป็นโหรแทนหลวงตาเสมอ...

เณรชั้วยิ้มอายๆ เหมือนหญิงสาว “ทายลักษณะเขา รอๆหลวงตาน่ะ”

“อ้อ แม่บุญปลูก” ผมทักเพราะจำได้ว่าบ้านแกอยู่ท้ายตลาด...
“รอพบหลวงตาไม่ดีกว่าเร๊อะ อีกสักครู่ก็คงจะกลับหรอก”

“ฉันรอไม่ได้ มันกำลังมีเรื่องร้อนใจเหลือเกิน” แม่บุญปลูกยกมือไหว้อ่อนน้อมน่ารัก “พ่อหมอเถา เมตตาช่วยดูให้สักหน่อยเถอะจ้ะมันเดือดร้อนจริงๆ”

ครูก้อนชายตาสบตาแม่บุญปลูก “เธอบอกวันเดือนปีและเวลาเกิด กี่โมงกี่ยาม ฉันจะลองผูกดวงชะตา ช่วยกันดูสงเคราะห์ทุกข์แม่บุญปลูก พอได้บ้าง”

“วันเดือนปีฉัน แม่แกไม่ได้จด มาตอนโตเป็นสาวนั่นแหละถึงได้รู้เพราะจะดูเนื้อคู่ แกจำๆเอา จำได้ว่าปีที่เขารบกันในกรุงเทพฯ " อีตอนที่เปลี่ยนจากในหลวงมาเป็นมีทายกรัฐบาลนั่นแหละ "

“เขาเรียกนายกรัฐมนตรีจ้ะ อ้ายทายกนั่นมันพวกวัดๆบ้านเรา”ผมท้วงแสดงภูมิ แล้วหันมาทางครูก้อน “ครูเคยเล่าเรียนมาลองนึกประวัติศาสตร์มันปีไหน "

“คงเป็นปีกบฎใหญ่หลังเปลี่ยนการปกครอง” ครูก้อนตอบช้าๆตรึกตรอง “ปีนั้น พ.ศ. 2476 ดูเหมือนเป็นปีจอ”

“ใช่จ้ะครู ฉันเกิดปีจอนี่แหละ แม่แกเลยเรียกฉันว่าอีหมาๆมาแต่เล็กๆ”
“แล้วเดือนล่ะ” ผมช่วยซัก...

“แม่แกบอกว่าตอนเขาทอดกฐินกันที่วัดข้างบ้านน่ะแหละ”

“พระออกพรรษาวันแรม1ค่ำเดือน 11 ก็เห็นจะเป็นเดือนตุลาคม
ผมถนัดเรื่องเก่าๆก็เลยเดาเสียเองแล้วก็ถามต่อ “แล้ววันล่ะแม่บุญปลูก”

“วันประหัส” แม่บุญปลูกตอบทันใจ
“เวลาเกิดล่ะทีนี้ เวลานี่ล่ะสำคัญนัก” ครูก้อนกระเถิบเข้ามา

ถามใกล้ๆดูคล้ายๆกับจะชิงเอาหน้า...
“แม่บอกว่าจำทุ่มยามไม่ได้เพราะไม่มีนาฬิกา จำได้แต่ว่า ตอนพระจันทร์ขึ้นขอบฟ้าพอดี "

“ครูก้อนเกาหัวแกร็ก “เสร็จกัน เลยผูกดวงไม่ได้ฉิบ พระจันทร์
ขึ้นขอบฟ้าใครจะไปรู้ว่ามันกี่ทุ่ม”

“รู้ซีน่ะ” ผมรีบค้านแสดงความรู้อย่างภาคภูมิ “มันต้องใช้ทางโบราณคำนวณ ไม่ยากหรอกหรือจะคิดง่ายๆก็คือวันเพ็ญข้างขึ้น...
15 ค่ำพระจันทร์ขึ้นตั้งแต่ 6 โมงเย็น แล้วพระจันทร์จะขึ้นล่าไปวันละประมาณ 48 นาที ถ้ารู้ขึ้นแรมก็รู้เวลาได้แน่”

ครูก้อนท้วง “แล้วมันวันพฤหัสไหน กี่ค่ำ เพราะในเดือน 11 .มันมีตั้ง 4 พฤหัส ขึ้นก็มีแรมก็มี”
“เออ-จริงของครู เสร็จกัน” ผมอ้าปากนับค้างจนมุมเอาตรงนี้เอง...

“แม่บุญปลูกแกจะมาดูเรื่องของหาย” เณรชั้วแนะนำ “หมอเถา พอจะมีทางอื่นจะช่วยพยากรณ์ได้ไม๊ ฉันเคยเห็นหลวงตาท่านใช้จับยาม”
“งั้นได้การ” ผมดีดมือพัวะ “ไม่รู้เสียแต่แกว่าเป็นเรื่องของหาย นึกว่าจะดูโชคเคราะห์มันต้องผูกดวง แม่บุญปลูกขึ้นกุฏิมาตั้งแต่เมื่อไร”

เณรเหลือบมองนาฬิกาแมงดาข้างฝา แล้วตอบแทน “สักบ่ายโมงเศษๆเห็นจะได้ หมอเถา”
“วันนี้วันพฤหัส” ผมนับนิ้วมือไล่ยาม “ครุ ภุมมะ สุริชะ ศุกระพุทธะ บ่ายโมงเศษตกยามพุธ”

“พบหรือไม่พบจ๊ะหมอเถา” แม่บุญปลูกรีบซักเพราะกำลังร้อนใจ...

“เดี้ยวอย่าพึ่งซัก” ผมว่าโฉลกยามคล่องปาก “เสาร์ระวิพุทธา
ยามทั้งนี้นา แม้ดูโรคาว่าตาย บอกกล่าวจริงบ่คลาย แม้ข้าวของหาย
ทายว่าจะได้คืนคง”

สีหน้าแม่บุญปลูกมีเลือดมีฝาดขึ้นทันทีเมื่อฟังข้อความตอนท้าย
“ได้แน่ไหม หมอเถาจ๋า”

ผมกำลังวางมาดหยิบกลักบุหรี่ใบจากจะมวนสูบ พอได้ยินคำ
หมอจ๋าฉุนกึก กระแทกกลักบุหรี่กับพื้น กุฏิดังโปก

“เรียกหมอเฉยๆก็ได้ อ้ายคำหมอจ๋าหมอขานี่ขอเสียที เดี๋ยวเลยไม่ต้องดูกัน”

“อุ๊ย ขอประทานโทษฉันไม่ตั้งใจ” แม่บุญปลูกคนมืออ่อนยกมือไหว้อีกแถมยิ้มแย้มจนเห็นฟันทอง “หายไปได้เจ็ดวันแล้วจ้ะหมอเถา ฉันจะตามพบทิศไหน และจะได้คืนเมื่อไหร่”

“ยามเขาบอกว่าได้แน่” ผมถูกรุกกระชั้นไม่ทันตั้งตัวต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตัวยามมันตกพุธก็ต้องทิศใต้ เลขพุธมันเลข 4 ก็ภายใน 4 วันนี้แหละ”

ครูก้อนไม่ถนัดทางยามของเก่าๆ จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังผมทายเป็นพระเอกอยู่คนเดียว...

“พุธตัวนี้มันธาตุน้ำ” ผมจัดแจงพยากรณ์ต่อเพราะนึกถึงคำสั่งสอนของหลวงตาว่าให้อ่านดาวให้ละเอียด “ของหายรายนี้ มันน่าจะถูกซุกอยู่ที่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ แม่บุญปลูกลองหาดูอาจพบก็ได้”

“คงไม่มีแน่ๆ จ้ะหมอเถา” แม่บุญปลูกปฎิเสธทันที ทั้งๆที่กำลังกลุมแกก็หัวร่อคิกคัก “ไม่ต้องหาให้เสียเวลาเปล่าๆ”

ผมฟังแม่บุญปลูกคัดค้านเอาง่ายๆ ซ้ำหัวเราะชักนึกเคืองๆ จึงยืนยันมั่นคง “ต้องอยู่ในน้ำแน่ๆ มันต้องมีคนลักเอาไปซ่อน ถ้าไม่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ ก็ต้องคลองหรือแม่น้ำ เอากันว่ายังไงๆ มันก็ต้องอยู่ในน้ำก็แล้วกัน”

แม่บุญปลูกยิ่งหน้าเป็นหนักขึ้น หัวร่อร่วน “หมอเถาจ๊ะที่ว่าหายน่ะ พี่ทิดผัวฉันเอง หายจากบ้านไปเจ็ดวันแล้วไม่รู้หายไปไหน ไม่ได้ข่าวเลย ถึงต้องมาดูหมอ”

“บ๊ะ แล้วกัน” ผมผงะแทบหงายหลังตกนอกชานกุฏิ รู้สึกอายจนหน้าชาที่พลาดไปถนัดใจ

ครูก้อนนั้นรักษามารยาทครูเก่า กัดริมฝีปากแน่นกลั้นหัวเราะไว้ข้างเณรชั่วปล่อยก๊ากเต็มสตีมไม่ยั้ง

“อาจเมาตายตกน้ำตกท่ามีอันตรายหรือลงเรือแพไปกับเพื่อนฝูงก็ได้ ควรลองสืบๆดูน๊ะ” ครูก้อนหาทางออกเพื่อช่วยกู้หน้าเพื่อนเอาไว้...

“ครูไม่น่ามาแช่งผัวฉันเลย” แม่บุญปลูกแกจัดจ้านพอตัว “ถ้าอยู่ในน้ำ 7 วัน อย่างหมอเถาว่า ป่านนี้น่าลอยน้ำรู้ข่าวกันทั้งเมืองไปแล้วเรื่องไปเรือก็ไม่มีทางเลยครู”

เณรชั้วที่ลุกไปเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่หน้าต่าง หันมาเรียก “แม่บุญปลูกดูเหมือนน้องสาวที่บ้านจะมาตาม กระมัง”

แม่บุญปลูกเหลียวมองดูทางประตูนอกชานกุฏิ สักครู่หญิงสาวผิวสะอาดสะอ้านหน้าตาละม้ายแม่บุญปลูกก็เข้าประตู มานั่งข้างๆ กระซิบกระซาบกันสองคนพี่น้องอยู่พักใหญ่ๆ แม่บุญปลูกฟังพยักเพยิด เมื่อแรก ดูสีหน้าปิติยินดี แล้วก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด เหมือนคนกำลังจะเป็นลม...

“ฉันเห็นจะต้องลาหมอทีละ ไม่ต้องดูหมอแล้ว” แม่บุญปลูก หันมายกมือไหว้ลาผมและครู สังเกตเห็นนัยน์ตาแดงๆน้ำตาคลอ...
“อ้าวทำไมล่ะ แม่บุญปลูก” ครูถาม
“ฉันได้ข่าวพี่ทิดแล้ว”
“พบที่ไหน ยังไง ขอทราบหน่อยเถอะ ฉันเองก็อยากรู้ว่ายามของหมอผิดหรือถูก”

“ไม่ได้พบในน้ำแน่” แม่บุญปลูกพูดเสียงเยาะๆ และนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เหมือนตรึกตรองตัดสินใจ “คนเขามาส่งข่าวว่าพี่ทิดไปได้เมียใหม่อยู่ที่บ้านดอน เป็นสาวรุ่นเด็่กชื่อนางวารี เลยกกกันอยู่ที่บ้านนังเมียเด็ก    

“อ๊ะ นังเมียเด็กนั่นชื่ออะไรน๊ะ” ผมเอะใจย้อนถามทันควัน
“ชื่อ นังวารี”
“เห็นไม๊ล่ะ” หมอเถา “วารี มันก็แปลว่าน้ำ ยามของหมอถูกเผ็งเทียวแหละ”

ตั้งแต่คบกันมาหลายปี เพิ่งเห็นครูก้อนหัวเราะลงลูกคอเต็มเสียงวันนี้ จนกระทั่งสองสตรีพี่น้องลงลับกุฏิไปแล้ว ครูก้อนหัวเราะไม่หยุด คอสองคือเณรชั้วหัวเราะจนตัวงอพาดหน้าต่าง ทำให้ผมต้องหัวเราะตามไปด้วย...

...พบกันใหม่ใน นิยายจากชีวิตจริง + บทความ + บทเรียน ต่อไป...กันนะครับ...



วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ดวงถูกคู่ตัดอวัยวะเพศ


...ดวงชาตานี้ผมเจอบนเน็ต โดยผู้นำดวงมาเผยแพร่คือคุณ สนุกๆ ตั้งชื่อดวงว่าดวงแปลกๆ ...
...แกให้ข้อมูลมาว่าเป็นดวงของเพื่อนซึ่งอยู่ที่ประเทศอเมริกา ครอบครัวอยู่ในฐานะปานกลาง
...เมื่อวันที่ ๑๘ พ.ย.ปี ๒๕๕๑ ได้มีเพศสัมพันธิ์กับคนรักเก่า และโดนตัดอวัยวะเพศ ...
...แต่ไม่ได้บอกว่าแพทย์ได้ทำการต่อกลับคืนได้ดั่งเดิมหรือไม่ ? ...
...เหตุเกิดที่ประเทศอเมริกา....

...ดวงชาย เกิดวันที่ ๑๑ พ.ย. ปี ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๕๓ น.





...จากภาพดวงชาตา เลขไทยคือเลขจากในพื้นดวง เลขฝรั่งเป็นเลขของดาวจรในวันเกิดเหตุ...

...เราเริ่มอ่านจากดาวตนุลัคน์ก่อน...

...ดาว ๓ [ตนุลัคน์ ] + [ มรณะ ] ไปอยู่ภพกฎุมภะ [ได้มา ] เจ้าเรือนคือดาว ๖ ไปอยู่ภพปัตนิ [คนรัก ]
...และเป็นเกษตร [ แน่ๆ ] ...
...แปลว่า...
...เจ้าชาตาจะต้องได้รับเดือดร้อนจากคนรักแน่ๆ
...เจ้าชาตาจะต้องได้เงินทองจากเพศตรงข้ามอยู่เสมอ
...เจ้าชาตาจะต้องเปลี่ยนคู่อยู่เป็นประจำ
...ภพมรณะคือราศีพฤศจิก ถ้าหมายถึงอวัยวะก็คือ อวัยวะเพศ  ไต ไข่ดัน...
...ดาว ๓ หมายถึง บาดแผล ผ่าตัด วัตถุหมายถึงของมีคม มีด  กรรไกร...

...ลองตั้งดาว ๓ ที่ราศีพฤษภเป็นลัคนาที่ ๒ ขึ้นมา...

...ราศีพฤศจิกเป็นภพปัตนิ [ คนรัก ] ดาว ๓ เจ้าเรือนไปอยู่ราศีพฤษภ ภพตนุ [ เจ้าชาตา ] ดาว ๖ 
...เจ้าเรือนไปอยู่ราศีตุลย์ภพอริ [ทำร้าย  โกรธ  เก่า ] และเป็นเกษตร[ แน่นอน ] ...
...อ่านว่า ปัตนิ + ตนุ + อริ + อริ...
...แปลว่า...
...คู่เก่าของตนเองจะลงมือทำร้ายเจ้าชาตาอย่างแน่นอน
...คู่ของตนจะสร้างปัญหาให้เ้ดือดร้อนอย่างแสนสาหัส

...และอย่าลืมว่าดาว ๓ ยังเป็นเจ้าเรือนภพวินาสน์ [ไม่คาดฝัน ] อีกด้วย...
...รวมแล้วแปลได้ว่า ...เจ้าชะตาจะต้องโดนคนรักเก่าทำร้ายร่างกายอย่างไม่คาดฝัน

...ยังไม่พอเราตั้งดาว ๖ ที่ราศีตุลย์เป็นลัคนาที่ ๓ ขึ้นมาอีก...

...ราศีเมษเป็นภพปัตนิ [ คนรัก ] ดาว ๓ เจ้าเรือนไปอยู่ภพมรณะ [เดือดร้อน ] และดาว ๖ เจ้าเรือน
...มรณะมาอยู่ภพตนุ เป็นเกษตรไม่ไปไหน อ่านว่า ปัตนิ + มรณะ +ตนุ +ตนุ ...
...มีดาว ๑ ภพลาภะ [ ความหวัง ] เป็นนิจจ์ [นิดหน่อย ] มาอยู่ภพตนุกุมดาว ๖ มรณะ เป็นคู่สมพล
...[ มีพลัง ] จากจุดดาว ๑ + ดาว ๖ อ่านว่าผิดหวังและน้อยใจ...
...แปลว่า...
...คู่ครองที่น้อยใจและผิดหวังจะทำร้ายและสร้างความเดือดร้อน เจ็บแสบ [ ดาว ๓ มรณะ ] มาสู่
...เจ้าชาตาให้ได้รับความทรมานอย่างแน่แท้...เพราะความเจ้าชู้...แห่งตนเอง...
...ดาว ๖ ที่เป็นเกษตรอยู่ที่ราศีตุลย์ภพปัตนิของลัคนาที่ ๑ อ่านว่า...นักรักหรือเจ้าชู้...

...สรุปว่าทั้ง ๓ ลัคนา ปัตนิ [ คู่ ] เสียหายหมด...

...คราวนี้เรามาดูดาวจรวันเกิดเหตุกันดีกว่า ...

...ดาว ๓ จรไปเป็นเกษตรอยู่ที่ราศีพฤศจิกภพมรณะของลัคนาที่ ๑...
...เป็นภพ ปัตนิจากลัคนาที่ ๒ ...
...เป็นภพ กฎุมภะของลัคนาที่ ๓ ...
...อ่านว่า...มรณะ + ปัตนิ +กฎุมภะ ...

...แปลว่า...เจ้าชาตาได้รับความเดือดร้อนจากคนรัก...

...ดาว ๔ มากุมอยู่มาจากภพอริ [ ลัคนาที่ ๑ ] มาจากภพปุตตะ [ลัคนาที่ ๒ ]
...มาจากภพวินาสน์ [ ไม่คาดฝัน ] ของลัคนาที่ ๓ ...ทับดาว ๔ ในดวงเดิม [รอยเดิม ]
...อ่านว่า...อริ +ปุตตะ + วินาสน์...
...แปลว่า...การที่เกิดถูกทำร้ายอย่างไม่คิดมาก่อน...

...ดาว ๑ [น้อยใจ ] มากุมดาว ๔ [คิดแล้วพูด ] และดาว ๓ [ กระทำ ] 
...๑ + ๓ เป็นคู่ศัตรู  หมายถึง การต่อสู้หรือการวิวาท การทำร้าย ฯลฯ
...๑ + ๔ เป็นคู่วิชาการ หมายถึงวิธีการที่รัดกุม
...๔ + ๓ เป็นคู่คิดคู่กระทำ หมายถึงการลงมือตามแผนที่คิดมาแล้ว

...แปลว่า...การทำร้ายที่ได้วางแผนการณ์มาล่วงหน้าเรียบร้อย แล้วลงมือดำเนินการในทันที...

...ดาว ๒ เป็นภพพันธุ ระบุ หมายถึงสถานที่ [ห้องนอน ] ของลัคนาที่ ๑ ...
...เป็นภพสหัชชะ [การเคลื่อนไหว ] ของลัคนาที่ ๒ ...
...เป็นภพกัมมะ [กิจกรรม ] ของลัคนาที่ ๓ ...
...ดาว ๒ เป็นตัวสรุปว่า...เหตุการณ์เกิดขึ้นในระหว่างการประกอบกิจกรรมทางเพศ...

...รวมความหมายทั้งหมดแปลได้ว่า...

...ในระหว่างกระทำเพศสัมพันธ์ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและคิดแผนการณ์มาเรียบร้อยแล้ว ...
...จึงดำเนินการลงมือเชือดอวัยวะเพศของคู่หลุดออกมา...
...ด้วยมีดพับอย่างรวดเร็วตามความต้องการเดิมในทันที...

...ดูจากดาวจรทับดาวในดวงเดิม...

...ดาว ๑ จรทับ ดาว ๔ เดิม = คู่วิชาการ
...ดาว ๒ จรทับดาว ๕ เดิม = คู่ศัตรู
...ดาว ๓ จรทับดาว ๔ เดิม = คู่คิดคู่ทำ
...ดาว ๔ จรทับดาว ๔ เดิม = ย้ำรอยเดิมในพื้นดวง
...ดาว ๕ จรทับดาว ๗ เดิม =คู่ยืดเยื้อ และดาว ๐ [ ทันทีทันใด ] เดิม 
...ดาว ๖ จรทับดาว ๗ เดิม = คู่ศัตรู ทับดาว ๐ [ ฉับพลัน ] 
...ดาว ๗ จรทับดาว ๒ เดิม = คู่พลัดพราก
...ราหูจรทับราหูเดิม = ความหลงผิดดับเบิ้ล
...เกตุจรไปตอกย้ำเรือนดาว ๔ ที่ราศีมิถุน
...ดาว ๐ ไปตอกย้ำที่เรือนราหู ที่ราศีกุมภ์

...ดาว ๕ เดิมอยู่ที่ภพพันธุ [ บ้าน ห้องนอน ] อยู่ที่ราศีกรกฏ...
...ดาว ๕ จรเป็นเกษตร [แน่นอน ] อยู่ที่ราศีธนูภพศุภะ [ ต่างประเทศ ]
...ดาว ๕ หมายถึงประเทศอเมริกา...
...เบ็ดเสร็จแปลว่า...เกิดเหตุทั้งหมดนี้ที่ประเทศอเมริกา...

...อายุในวันเกิดเหตุครบ ๑๘ ปี บวกกันได้ ๙ ...
...ดาว ๑ จรตกภพมรณะ  ราหู [๘ ] จรมาทับราหูเดิมที่เภพกัมมะ [กิจกรรม ]
...เกตุจรอยู่ราศีมิถุนภพ สหัชชะ [ ความเกี่ยวข้อง ] แฝงเกษตรไปที่ราศีกันย์ภพอริ [ ทำร้าย ]
...ซึ่งมีดาว ๔ ก็เป็นเจ้าเรือนและเป็นเจ้าการที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆนี้ขึ้นมา...
...และที่สำคัญนับอายุ ๑๘ ปีจะตกที่ราศีกันย์ภพอริ...

...นับจากจุดอายุ ตกอริ [ทำร้าย ] ดาว ๔ ไปอยู่ภพมรณะ [ อวัยวะเพศ ] และเป็นเกษตร [ ตั้งมั่น ]
...ดาว ๒ อยู่ภพพันธุ [ บ้าน ห้องนอน ] ตรีโกณกับดาว ๔ เจ้าการซึ่งอยู่ราศีพฤศจิก [เดือน ] 
...ดาว ๗ จร [ โทษทุกข์ ]  เจ้าเรือนกัมมะ  [กิจกรรม ] จรมาทับ ๒ เดิมที่ราศีสิงห์ภพ...
...ปุตตะ [ความรัก ] ดาว ๑ เจ้าเรือนก็ไปอยู่ราศีพฤศจิกภพมรณะ อีกจนได้...เข้าเรื่องเลยละ...

...แปลรวมกันออกมาว่า...

...เดือนพฤศจิกายนปีนี้จะโดนคู่ตัดอวัยวะเพศทิ้งที่ห้องนอนในบ้านระหว่างประกอบกามกิจ...

...ส่วนที่ว่าจะต่อได้หรือไม่ได้ผมทายว่า...

...น่าจะต่อได้ เพราะดาว ๓ เป็นประ [ อ่อน ] แต่ก็เป็นราชาโชค [ เฮง ] 
...และดาว ๓ จรเป็นเกษตร [ มั่นคง ยังอยู่ ] อยู่ที่ราศีพฤศจิก...
...ก็น่าจะโอเคนะครับ...
...และยังมีอีกที่จะกล่าวก็คือ ถ้าข้อมูลทั้งหมดเป็นดังนี้ ...
...คำวิจารณ์ดวงชาตาที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ ...ย่อมต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน...

...พบกันใหม่ในบทความ + บทเรียน ต่อไปกันนะครับ...สวัสดี...






วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ดวงชาวเกาะ



...วันสุดท้ายในกรุงเทพมหานครฯ...

หลวงตาชื้นและศิษย์เป็นวันว่าง ธุระที่ตั้งใจมาสำเร็จเรียบร้อยแล้วและตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นก็จะออกเดินทางกลับวัดในต่างจังหวัด...

ตั้งแต่ฉันท์เช้าเสร็จ พอเสียงระฆังย่ำเหง่งหง่าง หลวงตาและมาหาครื้นก็พากันลงจากกุฏิไปลงอุโบสถเพราะเป็นวันพระ...

ครูก้อนก็ถือโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนฝูงที่เคยรู้จักมักคุ้นเก่าๆครั้งยังรับราชการครูมาด้วยกัน และมามีถิ่นฐานอยู่ในกรุงเทพฯชวนหมอเถาชมพระนครไปด้วยกัน หมอเถาก็ปฏิเสธ เพราะตั้งใจจะไปกราบพระแก้วมรกต...และเจ้าพ่อหลักเมือง ...
ทั้งก็อยากจะไปสนามพยากรณ์โคนมะขามซึ่งเป็นของแปลกแห่งเดียวในเมืองไทย...

เนื่องจากหมอเถาไม่ชินถนนหนทางในกรุงเทพฯ เพราะมิได้มาเสียนานจึงต้องมีคนนำทางซึ่งเป็นเพื่อนเก่า อายุเพิ่งเข้า 16 ซึ่งห่างกันร่วม 4 รอบ เมื่อ 2 ปีก่อนหนีออกจากบ้านที่ชุมพรซัดเซพเนจร 
หมอเถาเก็บตกจากหน้าวัดพามารับความอุปการะจากหลวงตาชื้น ส่งเสียให้มาเล่าเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ โดยอาศัยอยู่กับมหาครื้นเป็นศิษย์วัดไปในตัว...

หมอเถาแต่งตัวเสร็จนานแล้ว เดินหมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากุฏิคอยผู้นำทางที่กำลังบรรจงแต่งตัว...

กระทั่งครูก้อนออกมาจากกุฏิถามขึ้น “ยังไม่ไปกันอีกรื้อหมอเถา”

หมอเถาบุ้ยปากและชี้มือ ครูก้อนมองตามก็เห็นเด็กน้อยที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มในปีนี้กำลังจัดกลีบเสื้อกางเกงอย่างประณีตจึงร้องเตือนแทน”

“เอ้า...เร็วๆ เจ้าหนุ่มน้อย นักเรียนทุนหลวง เว้ย”

หมอเถาฟังคำครูก้อนนึกดีใจ “อ้อ...เจ้าหนูน้อยของข้า สอบได้ทุนเรียนของรัฐบาลเร๊อะ เออ มันเก่งแท้”

ครูก้อนกลับหัวเราะเยาะ “โธ่...หมอเถาก็พลอยโง่ไปด้วย”

“โง่...ยังไง” หมอเถาเถียง “ทุนหลวงมันก็ทุนรัฐบาลน่ะซี”

ครูก้อนใช้นิ้มจิ้มหน้าหมอเถา “ทุนเล่าเรียนหลวง หลวงตาว่ะ”

หมอเถาถูกนิ้วจิ้มหน้าฉุนก็ฉุน ขันก็ขัน เพราะสำนวนศัพท์ครูก้อนเป็นความจริงกระทั่งเจ้าหนุ่มน้อยแต่งตัวเสร็จ ซ้ำสะพายย่ามครบชุด ทันสมัยวัยรุ่น...

หมอเถาพิศดูแล้วสัพยอก “เจ้าหนูของข้านี่มันรูปหล่อนา น่ากลัวจะต้องมีเมียเยอะ”

เจ้าหนูน้อยยิ้มรับคำชม “ต่อไปนี้ลุงหมอและลุงครูก้อนเรียกชื่อฉันตั้งชื่อตัวเองใหม่แล้ว”

ครูก้อนซัก “ชื่ออะไรล่ะ”

“ชื่อถวัลย์” เจ้าหนุ่มน้อยอธิบายทั้งเหตุทั้งผลเสร็จว่า “ผู้มีพระคุณเหมือนพ่อคือลุงหมอ ที่อุตสาห์
อุ้มชูฉันจากเด็กพเนจรจนได้ที่พึ่งหลวงตา ชื่อ “เถาวัลย์” ฉันเลยตัด “สระเอา” เหลือแต่ตัว “ถ” เป็น
“ถวัลย์ ให้คล้องจองกัน”

หมอเถาโอบกอดเจ้าหลานชายนอกไส้ที่มีกตัญญูด้วยความรักเปี่ยมหัวใจ แต่เจ้าหลานชายนาย
ถวัลย์กลับปิดป้องด้วยความเกรงเสื้อผ้าจะยับเสียรูป...

หมอเถาบรรจงนิ้วจับดูเสื้อและกางเกงเจ้าหนุ่มน้อยดูพิจารณา...

“เออสวยดี คงหลายเงิน..นี้ แต่ดูเสื้อมันหลวมโพรก เป็นปูข้างแรมว่ะ เจ้าหนูซื้อเสื้อผิดขนาดหรือเปล่า”

“นี่แหละแบบทันสมัยเปี๊ยบ ของหนุ่มกรุงเทพฯเขาละลุงหมอ เขาเรียกแฟชั่น 5 ย ”

ครูก้อนหัวเราะชอบใจ “ย.แย่ หรือเปล่าว๊ะคุณถวัลย์”
หมอเถาว่า “ชื่อเป็นอักษรย่อ ยังกะเครื่องแบบทหารเขา ลองอธิบายหน่อยรึ”

เจ้าหนุ่มถวัลย์พิจารณาดูเครื่องแต่งกายด้วยความภูมิใจหนักหนา...

“ย.ที่ 1 คือ ผมต้องยาวประบ่า ย.ที่ 2 คือ เสื้อใหญ่ ย.ที่ 3 ก็ต้องสวมกางเกงยีนส์ ย.ที่ 4 นั้น ต้องสะพายย่าม ย.ที่ 5 นั้นก็คือ สวมรองเท้ายาง”

ทั้งครูก้อนและหมอเถามัวคิดตามและตกตะลึกไปครู่ใหญ่กว่าจะหัวร่ออก เลยชัดเสียก๊ากใหญ่ 
และก่อนที่ครูก้อนจะแยกจากไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจึงยัดเยียดเงินจำนวนหนึ่งใส่กระเป๋าเสื้อ
หมอเถาไว้ให้เป็นทุนเที่ยวชมเมือง...

หมอเถาและมัคคุเทศน์ ออกจากวัดโดยไม่ยอมขึ้นรถขึ้นรา กลับเดินเลียบชมตึกร้านบ้านช่องไป
ตามท้องถนน เป็นการทัศนศึกษาในตัวเจ้าหลานชายถวัลย์ต้อยคอยฉุดคอยลากให้เดินต่อไป
เสมอ เพราะหมอเถาคอยแต่จะหยุดชมสินค้าในตู้โชว์ไปหมดทุกๆร้านไม่เว้น ...
จะข้ามถนนแต่ละแห่งต้องฉุดต้องจูงกันละล้าละลัง เพราะความตื่นกรุงตื่นรถยนต์ที่แล่นขวักไขว่
ไม่หยุดยั้ง หมอเถาเดินไปบ่นไปตลอดทางว่าเข็ดแล้วเมืองกรุงบางกอกอันศิวิลัย เพราะมีอันตราย
รอบตัวยิ่งกว่าเดินทางในป่าเดินป่านั้นคอยระแวงระวังแต่สัตว์ร้ายจะขบกัดทำร้าย และก็มีน้อยตัว
หลีกหลบก็ง่าย แต่เดินในเมืองหลวงนี้ไหนจะคอยระวังรถยนต์สวยๆที่มีมากยังกะมด จะมาคร่าชีวิต
แล้วยังต้องคอยระวังคนด้วยกันหน้าสวยๆจะคอยเล่นงานที่โดนมาแล้วจนหมดตัวเมื่อวันลงจากรถไฟ...

ลุงและหลานนอกไส้จูงมือกันลัดเลี้ยวมาหลายถนน จนถึงวัดพระแก้วตามที่ตั้งใจมา
 หมอเถาเงยหน้าชมยอดเจดีย์ทองสุกอร่ามเป็นประกายอยู่กลางแดด ทั้งช่อฟ้าใบระกาอันสวยงาม
ด้งสวรรค์ จนเจ้าหลานต้องฉุดให้เดินต่ออีกเพราะมายืนชมอยู่กลางถนน...

เป็นวันอาทิตย์ผู้คนจึงหลายหลากมากมายเข้าสู่วัดพระแก้ว ทั้งพ่อค้าขายนกปล่อยและดอกไม้ธูป
เทียน ต่างเบียดเสียดกันตรงทางเข้าประตู เจ้าหลานถวัลย์จูงมือหมอเถาไว้กันหลง ทางเดินเบียดไป
ตามกระแสฝูงคน พอถึงธรณีประตู ก็ถูกหมอเถากระตุกมือให้หยุดชะงักอยู่กับที่...

เจ้าหลานถวัลย์สงสัยเหลียวมาถาม “หยุดทำไมอีกล่ะลุงหมอคนกำลังแน่นรีบเข้าไปเร็วๆเถอะ”

“เดี๋ยวซีว๊ะ” หมอเถายั้งกายให้ตัวตรง เพราะถูกคนเบียดหลั่งไหลจะเข้าประตู จนต้องหลีกหลบเข้าพิงกำแพงข้างประตู “ จะก้าวข้ามประตูเข้าไปมันต้องเคารพวิญญาณผู้เฝ้าประตูเขาเสียก่อน”

“ปัดโธ่ลุง”

“ไม่ปัดละว๊ะ เอ็งมันเด็กบ้านนอกไม่รู้อะไร” หมอเถาพูดเสียงขึงขังและชี้นิ้วลงหน้าธรณีประตู 
“เมื่อตอนเขาสร้างเมืองกรุงเทพฯนี้เขาขุดหลุมฝังทั้งเป็น นายอิน นายจัน นายมั่น นายคงเอาไว้ใต้ธรณีประตูเมืองให้เป็นคนเฝ้าประตู จะข้ามเข้าไปมันต้องเคารพกราบเขาเสียก่อน”

“เอาซีถ้าลุงก้มลงกราบเดียวนี้ คงได้เป็นผีเฝ้าประตูแน่ เพราะผู้คนก็จะเหยียบติดแผ่นดินอยู่นี่แหละ 
แล้วถ้าเขาจะฝังจริงมันตั้งเป็นร้อยๆปีมาแล้ว ประตูไหนก็ไม่รู้ประตูออกรอบวัง”

“ชั่งเถอะว๊ะ กราบที่ประตูนี้มันถึงกันเองทุกประตู” หมอเถาคันข้างเข้าถูกับเด็ก “งั้นกราบตรงนี้ก็ได้ว๊ะ”

หมอเถากราบฝากไว้ข้างกำแพงประตูทั้งยังบังคับขู่เข็ญเจ้าหลานถวัลย์ให้กราบตามตนจนได้ มิใยคนข้างๆจะมองอย่างสงสัยในสติสัมปรัญญะของหมอเถา...

พ้นประตูแรกเข้ามาแล้ว เมื่อผ่านประตูที่สองเข้าสู่ลานพระอุโบสถพระแก้วมรกต หมอเถาเหลียวดู
รูปปั้นสูงใหญ่ทั้งคู่ที่ยืนถือตระบองเฝ้าประตูอยู่ หมอเถาก็ยกมือพนมไหว้นอบน้อม...

เจ้าหลานถวัลย์หัวเราะเยาะเอานิ้วจี้สีข้างลุงหมอจนสะดุ้งตัวโก่ง...

“ลุงไปใหญ่แล้ว ไหว้กระทั่งรูปยักษ์เฝ้าประตูวัดก็ไหว้”
“เขาถึงว่า คนโง่มันไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” หมอเถาพูดหน้าบึ้งๆ“นี่แหละว่า เทพยดา เอ็งรู้ไว้เถอะ”

เจ้าหลานหัวร่อรวน แหงนดูรูปปั้น “เทวดา เขี้ยวโง้งเชียวน๊ะ”
“ข้าจะอธิบายให้ฟัง เอ็งไหว้ท่านเสียก่อนซิ” หมอเถาออกคำสั่งอีก...

“ไม่เอา..เจ้าหลานต่อรอง “ลุงอธิบายก่อน ถ้ามีเหตุผลดีน่าเชื่อ ผมถึงจะยอมไหว้”

หมอเถายึดอกอย่างภาคภูมิ อธิบายเสียงดังๆ...

“สถานที่นี้ ท่านสร้างเป็นเมืองชั้นในเป็นพระราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์ซึ่งท่านสมมติเป็น
เมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ดูซิที่ประทับท่านก็ตั้งเป็นชื่อสวรรค์ชั้นสุดของภพเทวดา เช่นพระที่นั่งดุสิตมหา
ปราสาท เพราะฉะนั้นสวรรค์ชั้นบนเมืองมนุษย์นี้ ก็ต้องมีเทพยาดารักษาประตูทั้ง 4 ทิศ เหมือนกับ
สวรรค์ชั้นฟ้ามหาจักรวาฬ ที่มีคัมภีร์กล่าวว่าเบี้องบรรพทิศนั้นท้าวธตรฐราชเป็นผู้ดูแลรักษา...
เบื้องปัจฉิมทิศนั้นท้าววิรูปักขราชเป็นผู้รักษา เบื้องอุดรนั้นท้าวไพศพมหาราชเป็นผู้รักษา ...
เบื้องทักษิณท่านท้าววิรุฬหกราชรักษา ทั้ง 4 ท่านเป็นเทพดาจ้าวพญาแห่งยักษ์มารทั้งปวง”

เจ้าหลานผู้เยาว์กว่า ถูกอ้างคัมภีร์นรกสวรรค์และเทวดาทั้ง 4 ทิศก็ยอมแพ้ยกมือไหว้เคารพโดยดี 
ผู้คนที่เร่เข้ามาฟังหลานกับลุงเถียงกันแต่แรกก็พลอยยกมือไหว้ยักษ์ตามกันไปด้วย... 
เพราะหลงเชื่อคำที่หมอเถาสอนหลาน...

แต่ยังมีบุรุษหนึ่งวัยคราวหมอเถา ยืนอมยิ้มสบตาอยู่ข้างๆมิได้จากไปเหมือนคนอื่นๆซ้ำยังถือวิสาสะ 
ถามว่า...

“พ่อลุงถ้าจะเคยมาวัดพระแก้วบ่อยๆกระมัง”

หมอเถาตอบตามตรงไม่ต้องคิด “มาหนเดียว หลายสิบปีมาแล้ว”

ฉันเป็นคนงานกวาดวัดพระแก้วนี้มา ตั้งแต่เป็นหนุ่ม” แกบอกเสียงเรียบๆและชี้ไปที่ท่านฐานยักษ์ 
“ยักษ์พวกนี้เขาเขียนชื่อไว้ทุกตนเป็นยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ทั้งหมดแหละ ประตูทิศเหนือชื่อ...
มังกรกัณฐ์กับวิรุฬหก ประตูทิศใต้ชื่ออินทรชิตกับสุริยาภพ ประตูทิศตะวันออกชื่อ...
ทศคีรีวันกับทศคีรีธร ประตูทิศตะวันตกมี 3 ประตู ชื่อจักรวรรดิ์กับอัศกรรณมาลา ทศกรรณฐ์ ...
กับสหัสเดชะ มัยราพณ์กับวิรุญจำบัง...

ดูเหมือนหมอเถาจะไม่ทันฟังให้จบทุกประตู เพราะรู้ว่าตนพลาดเสียแต้มไปถนัด รีบจูงมือกึ่งลากเจ้าหลานชายไปเสียให้พ้นๆ...

แต่เจ้าหลานถวัลย์ยังหัวเราะอยู่หันบอกหมอเถาว่า ...
“ถ้าใครเขาชวนลุงไปเที่ยววัดโพธิ์ อย่าไปเทียวน๊ะ ลุงหมอ”
หมอเถาฉงน “ทำไมว๊ะเจ้าหนู”

“ระเบียงวัดโพธิ์ พระพุทธรูปเรียงเป็นพระอันดับรอบโบสถ์เป็นร้อยๆองค์ ลุงหมอต้องไหว้ตั้งแต่องค์แรกพอถึงองค์สุดท้ายก็แขนบวม”

“เช๊อะ...ข้าไม่โง่จนแขนบวมหรอกว่ะ ใช้วิธีพนมมือจบขึ้นเหนือหัว หมุนตัวกวาดรอบทั้ง 4 ทิศ แบบนักมวยไหว้ก็ได้ว๊ะ”

หมอเถาหัวเราะแล้วก็จูงข้อมือหลานชายแหวกผู้คนขึ้นสู่พระอุโบสถ จุดธูปเทียนปักหน้าโบสถ์แล้ว
คลานเข้าไปกราบพระแก้วมรกตซึ่งสถิตอยู่บนบุษบกทองคำสูงจนต้องแหงนหน้ามอง และเมื่อกลับ
ออกมาหัวใจเต้มเปี่ยมไปด้วยความปิติในกุศลกรรมที่ตนกระทำ สองลุงหลานชวนกันเลียบระเบียง
โบสถ์ชมภาพรามเกียรติ์ตามผนัง จนออกประตูหลังเข้าเขตพระบรมมหาราชวัง...

หมอเถาและเจ้าหนุ่มถวัลย์เดินชมความสวยงามอันโอฬารตั้งแต่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท วกอ้อม
ไปชมพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งบรมพิมาน และพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท ทุกพระ
ที่นั่งหมอเถาจะต้องเคารพนบไหว้อ่อนน้อม แม้กระทั่งพลับพลาจตุรมุขพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์
ปราสาท และแถมบังคับเจ้าหลานชายให้ไหว้ตามด้วย...

ขากลับออกมาแห่งสุดท้ายที่ตั้งใจมาก็คือศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ผู้คนเบียดกันสักการะ
แน่นขนัดอยู่ตลอดเวลา ทั้งอึกกระทึกครึกโครมเสียงกลองละครชาตรีแก้บนที่แสดงติดต่อกันมา
เป็นแรมเดือนแรมปีไม่ขาด หมอเถาเบียดเข้าไปจุดธูปเทียน และถวายทองปิดตามประเพณีและ
กราบขอสิริมงคล และขอพรให้ตนเองจงรุ่งเรืองในวิชาโหราศาสตร์ที่ตนรัก และไม่อาจอยู่นานได้
เพราะผู้คนทยอยเข้าออกสับสนอยู่ตลอดเวลา ทั้งตกเวลาบ่ายโมง เจ้าหลานถวัลย์ชวนกินข้าว
กลางวันแถวๆนั้น...

กระทั่งบ่ายแดดอ่อนลง...

หมอเถาและหลานหนุ่มก็ยังไม่หมดรายการท่องเที่ยวเพราะหมอเถาต้องการชมนักพยากรณ์โคน
มะขามหน้าศาลแพ่ง หมอเถาเดินสำรวจยืนชมไปตั้งแต่รายแรกที่พยากรณ์ไพ่ป๊อกบ้าง ลายมือบ้าง
ดวงดาวบ้าง ที่มีคนมาขอรับคำพยากรณ์ ยิ่งดูก็ยิ่งเพลิน มาจนถึงตอนกลางเป็นที่ร่มรื่นเพราะมะขาม
คู่ใบดกกว่าตอนอื่น หมอเถาหยุดเหม่อมองดูผู้คนเดินกันขวักไขว่ เสียงใครคนหนึ่งร้องกลอนลิเก
ทำนองราชนิเกริงได้ยินถนัด...

“มาแลพบประสบภักตร์
เพื่อนเอ๋ยเพื่อนรักแต่ก่อนเก่า
แสนยินดีปรีดาที่พบหน้า...หมอเถา”

พอลงท้ายระบุชื่อตนหมอเถาก็เหลียวขวับหาตัวผู้ร้อง เป็นนักพยากรณ์ปูเสื่ออยู่โคนมะขาม 
และนั่งยิ้มแย้มนัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่หมอเถา...

“โอ้...หมอสุริยันนั่งเอง เออดีใจจริงที่ได้พบ”


หมอเถากระปรี้กระเ่ปร่าดังเด็กพบเพื่อนๆ จูงมือเจ้าหลานถวัลย์เข้าไปนั่งลงบนเสื่อ...
หมอสุริยันลิเกเก่าก็ดีใจเช่นกัน...


“ไม่ได้พบกันเสียนาน ตั้งแต่คราวก่อนที่แวะไปกราบเท้าหลวงตาชื้นที่วัด ท่านกรุณาแนะมาให้บ้าง
 แม้จะเล็กๆน้อยๆก็เป็นประโยชน์แก่ผมเหลือเกิน ทำให้ทำนายทายทักได้คล่องตัวขึ้นแยะ เดี๋ยวนี้มี
แขกประจำมากพอเลี้ยงตัวได้ เลยไม่ต้องเร่ร่อนขึ้นเหนือลงใต้เหมือนแต่ก่อนๆ คิดถึงหลวงตาท่าน
เหลือเกิน”

หมอเถาอ้าปากค้าง เพราะพ่อหมอสุริยันพูดเสียคนเดียวยืดยาวตลอดเรื่อง ถ้าหมอเถาไม่โบกมือ 
หมอสุริยันคงพูดต่ออีก...

“หลวงตาและครูก้อนก็ลงมาด้วยกันและตั้งใจจะกลับพรุ่งนี้แหละและเวลานี้พักอยู่กับมหาครื้น”

หมอสุริยันใจร้อนรวบเครื่องทำมาหากินนับแต่ป้ายโฆษณาดูแม่นๆและปูมโหรลงใส่กระเป๋าหนัง
 “งั้นไปด้วยกัน ผมอยากจะไปกราบเท้าขอบพระคุณพระเจ้าตาผู้มีพระคุณ บางทีอาจได้เพชรร่วง
ของโหราศาสตร์มาอีก”

หมอเถาขืนข้อมือที่เก็บของห้ามไว้ “จะไปก็ได้ แต่ผมเดินชมวัดวาอารามตั้งแต่เช้าเมื่อยขาเหลือเกิน
ขอพักสักครู่ เดี๋ยวค่อยไปด้วยกัน”

หมอสุริยันเป็นคนช่างเจรจา คุยเล่าไปหลายเรื่องหลายราว และก็ต้องวนเวียนยกย่องชมเชย...
หลวงตาชื้นว่าเป็นเอกบุรุษในทางโหราศาสตร์...

“หมอเถามีบุญที่ได้เป็นศิษย์เอกใกล้ชิดหลวงตา คงได้รับถ่ายทอดของดีไว้มากๆ ถ้าพ่อหมอเถา
มาปูเสื่อโคนมะขามนี่พักเดียวต้องเอาเงินใส่ปี๊บกล้บบ้าน”

หมอเถาถูกชมชักกระดากจึงออกตัว "ผมยังเป็นนักเรียนชั้นประถมโหราศาสตร์ ไม่เก่งกาจอย่างที่
หมิสุริยันคิดหรอก ยังต้องเรียนรู้อีกมาก "

หมอสุริยันยังคงรำพรรณต่อไปอีก “บางทีผมก็นึกท้อๆในโหราศาสตร์ ยิ่งเรียนรู้มากยิ่งโง่ ยิ่งใช้กฎพยากรณ์มากครูมากอาจารย์เข้ายิ่งยุ่งใหญ่ เกือบๆจะเลิกหลายหน หนสุดท้ายพบหลวงตาของ
หมอเถาเข้านี่แหละค่อยมีกำลังใจขึ้น”

หมอเถาออกความเห็นว่า  “ การพยากรณ์นี้ใช้มากครูมากอาจารย์ไม่ดีแน่ สู้อาจารย์เดียวกฎเดียว
ไม่ได้ เพราะไม่ปนกันเลอะเทอะ ”

“อ้ายจริงน่ะก็จริงหรอก แต่ไม่รู้เหตุผลว่ามันเพราะเหตุใด”

หมอเถานึกถึงคำของหลวงตาชื้นอาจารย์เคยเล่าไว้ ก็เอามาเล่าต่อเป็นอุทธาหรณ์

“หลวงตาเคยเล่าให้ฟังว่า ผู้ใหญ่บ้านที่เมืองกาญจน์คนหนึ่งแกปลูกบ้านอยู่ห่างชาวบ้าน เพราะแก
เป็นคนเก่าแก่และมีญาติมากจึงไม่ใคร่เกรงโจรผู้ร้าย ตอนนั้นโจรสุพรรณกำลังชุกชุม คืนหนึ่งก็เข้า
ปล้นบ้านแกเข้าจนได้ แกอยู่บ้านคนเดียว ลงจากเรียนก็ไม่กล้าเพราะเสียงปืนข้างล่างดังไม่ต่ำกว่า
สิบลำยิงกราดขึ้นมาบนเรือน อีตอนตัดสินใจลงจากเรือนก็เพราะพวกโจรมันโยนคบไฟขึ้นมาบนเรือน เป็นลูกไม้โจรที่ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาเงิน เพราะเจ้าทรัพย์กลัวบ้านไหม้จะรวบรวมติดตัวโดดจากเรือนหนี ได้ครบทุกบาททุกสตางค์ ผู้ใหญ่บ้านแกอารามตกใจรวมเงิน และทองหยองใส่ย่าม...
และคว้าห่อพระทั้งห่อใหญ่บนหิ้งบูชาใส่ย่าม โดดหน้าต่างเรือนหนี ปืนโจรร่วม 10 ลำ ยิงเข้าใส่ดัง
จนหูแทบดับ กระสุนปืนสักนัดเดียวก็ไม่ระคายหนัง เสื้อผ้าแกขาดกระจุยเพราะกระสุนเหลือแต่ตัว
เปล่าๆกับย่ามเงินและพระห่อใหญ่ วิ่งแก้ผ้าโทงๆหนีโจรเข้าป่าเอาตัวรอดไปจนได้”

เจ้าหลานถวัลย์นั่งอ้าปากฟัง อดออกความเห็นไม่ได้ “ลุงหมอไม่เห็นเกี่ยวกับโหราศาสตร์ตรงไหนเลย”

“เดี๋ยวซีว๊ะเจ้าหนู ขอหยุดหายใจก่อน” หมอเถาหันไปค้อนเจ้าหลานชายที่ขัดคอกลางคัน 
ชาวบ้านลือกันทั้งเมืองว่าแกหนังดีนัก เวลาแกมีราชการไปจับผู้ร้าย แกต้องเอาพระห่อใหญ่นั้นซึ่งมี
อยู่ร่วม... 100 องค์นั้นใส่ย่ามสะพายไหล่จนเอียงไปด้วยทุกครั้งเพราะไม่อาจเลือก รู้ได้ว่าองค์ไหนศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยชีวิตแกไว้ แกก็เลยพกทั้งห่อใหญ่ตลอดมาหลายปี”

หมอสุริยันเข้าใจทันทีเพราะประสบกับตนเองมาในเชิงโหราศาสตร์...

“นั่นนะซี ผมเองเวลานี้ก็ตกที่นั่งผู้ใหญ่บ้านเมืองกาญจนบุรีเหมือนกัน ทำนายใครเขาใช้กฎข้อนั้น
บ้างข้อนี้บ้าง บางทีกฎนั้นถูก บางทีกฎข้อนี้ถูก ผลสุดท้ายก็เลยต้องหอบเอาทุกกฎมาใช้เวลาทายเขาทุกทีจะทิ้งก็ไม่กล้า”

“ถ้าใช้พระเครื่ององค์เดียวได้เมื่อไร เมื่อนั้นเป็นนักพยากรณ์”

หมอเถารำพึงบอกหมอสุริยันและตนเองด้วย...

เสียงเอะอะเฮฮาดังมาจากต้นทางซึ่งเป็นทางเดิน ผู้คนหลีกหลบเป็นช่อง เป็นกลุ่ม ชายวัยกลางคน
ที่อยู่ในอาการมึนเมาสุรา โดยเฉพาะคนรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูท่างจะเมามากกว่าคนอื่นๆเพราะส่งเสียง
เอะอะ แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องสนุกสนานมากกว่าจะก่อเหตุวุ่นวายและพอผ่านหน้าหมอเถาชายนั้นเหลียว
ดูป้ายหมอสุริยันที่เขียนตัวโตๆว่า “ดูแม่นๆ” ก็สบัดมือจากเพื่อนๆเลี้ยวขวับเข้ามานั่งแปะลงตรงหน้า
หมอเถา...

หมอเถาใจหายวูบไม่รู้ว่ามาดีมาร้าย แต่ก็ยังยิ้มสู้เอาไว้ก่อนตามวิสัยชายชาตรี

ชายนั้นเอื้อมมือคว้าป้าย “หมอดูแม่นๆ” เอามาถือให้หมอเถาดูและถามจ้องหน้า

“แม่นแน่เร๊อะ...หมอ ฉันจะดู”

หมอเถาอึกอักเหลียวมองหน้าหมอสุริยันเจ้าของป้าย แต่หอมสุริยันพยักเพยิด “เชิญหมอเถาเถอะ”

หมอเถาร้อง “อ้าว...”

“ไม่ต้องอ้าว...เรานี่แหละ” ชายนั้นชี้หน้าหมอเถากลิ่นเหล้าคลุ้งและควักธนบัตรใบละ 100 บาท ออก
มาชูอวด “ถ้าทายถูกจ่ายหมดร้อย ถ้าผิดอดเลย ...
ถ้าเป็นหมอแล้วไม่ดู ก็เอาสระอาใส่ท้ายชื่อแล้วหลบไปให้พ้น”

หมอเถาถูกสบประมาทซึ่งๆหน้า แม้คนพูดจะเมามายก็ไม่วายเลือดขึ้นหน้าจนชา ความคิดแต่แรกที่
จะหลบหลีกเกรงมีเรื่องก็หมดไปจากหัวใจ ย้อนถามเอาบ้าง...

“ถ้าไม่อยากเป็นหมอสระอา ก็ต้องดูกันยังงั้นซีน๊ะ”

“ใช่แล้ว...” เขาตอบลากเสียหัวร่อร่วนกวนโมโห เพื่อนๆสามสี่คนที่ยืนห้อมล้อมแทนที่จะห้ามกลับ
เฮฮาสนับสนุน และผู้คนที่อยู่ใกล้ๆได้ยินเสียงเอะอะกะเร่เข้ามาล้อมฟังเป็นกลุ่มใหญ่...

หมอเถาก็ชาติชายที่ติดไปตายเอาดาบหน้า เรื่องจะยอมเสียหน้าเสียศักดิ์ชายนั้นยอมไม่ได้
เสียแล้ว จึงตัดสินใจพยักหน้า...

“เอ้าบอกวันเดือนปีมา เรื่องเงินไม่สำคัญ”

หมอสุริยันจัดแจงจดวันเดือนปีและเวลาเกิดตามที่นักเลงสุราบอก และเปิดปูมโหรคำนวณดวงดาว
และวางลัคนาเสร็จ แล้ววางตรงหน้าหมอเถาและตนเองซึ่งใจคอเต้นไม่เป็นส่ำเพราะตื่นเต้นก็ชะโงก
อ่านดวงช่วยอีกแรงหนึ่ง...

“หลวงตาสอนให้ดูอะไรก่อน” หมอสุริยันกระซิบ

หมอเถาก็กระซิบตอบ “หลวงตาสอนให้ดูตนุลัคน์ว่าเขาเป็นอย่างไร”



หมอสุริยันเป็นคนพูดพันๆปากง่ายๆและพยายามอวดรู้ “จันทร์ธาตุดินเป็นตนุลัคน์ ไปอยู่ราศีมีน
ธาตุน้ำ ลัคนาเองก็อยู่ราศีกรกฎธาตุน้ำ ดินอยู่กลางน้ำ ตัวเองก็อยู่กลางน้ำ เอ๋...มันแปลกจริงๆ”

หมอเถากำลังโกรธปนกลัว ความคิดระส่ำระสาย เพราะไม่เคยตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ...
 จึงเผลอตัวคิดดังๆออกมาไม่ทันยั้ง ...

“งั้นก็เป็นชาวเกาะแน่”

เจ้าของดวงชะตาทวนคำเสียงดังลั่นบอกเพื่อน...

“เฮ้ย...เขาว่าอั๊วเป็น ชาวเกาะว่ะ”

เสียงฮาครืนจากเพื่อนๆของชายนั้น คนหนึ่งในจำนวนนั้นดัดเสียงแหลมถามกวนโทโส...

“คุณพี่ เขาเกิดที่อีสานแล้วมาอยู่กรุงเทพฯมีเกาะที่ไหน มิทราบ”

คนนอกที่ล้อมวงอยู่พลอยหัวเราะคิ๊กคักสนุกสนานไปด้วย หมอเถาอายจนเหงื่อแตกตัวเบาหวิว
แทบจะเป็นลม นึกเสียใจตัวเองว่าไม่ควรเลย นึกถึงครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเพิ่งกราบ
ขอพรมาเมื่อครู่...

บัดดลนั้นเอง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเฮฮาจนฟังไม่สรรพ เสียงแผ่วๆเหมือนใครบอกอยู่ข้างหูว่า...

“เถาเอ๋ย ดูเสาร์ปัตนิร่วมอาทิตย์กดุมภะ พฤหัสศุภะก็เล็งจันทร์”

หมอเถาขนลุกซู่ หันไปยกมือไหว้ทางศาลเจ้าพ่อหลักเมืองปัญญาสว่างแวบเหมือนได้ไฟส่องทาง

“ใช่แล้ว...อาทิตย์เจ้าเรือนกดุมภะเป็นคู่ธาตุกับเสาร์ในเรือนปัตนิ การเงินของตนเป็นหลักฐาน
เพราะเมีย ซึ่งมีฐานะมั่นคง จันทร์ตนุลัคน์ไปอยู่ภพศุภะอันเป็นที่พึ่ง และพฤหัสที่พึ่งมาก็มา
เป็นปัตนิ ใช่แล้วชาวเกาะแน่ๆ”

หมอเถาแหงนหน้ามองไปรอบวงอย่างอาจหาญต่อเสียงหัวเราะเยาะและประกาศก้องว่า...

“ชาวเกาะแน่ เกาะเมียกิน”

เท่านั้นเอง เสียงหัวเราะรอบๆวงล้อมกลายเป็นเสียงฮาครืน
พร้อมกัน เจ้าของดวงชะตาโกรธจนตาแดง ฮึดฮัดลุกขึ้นชี้หน้า

“ไอ้หมอ...แกว่าข้าเป็นผู้ชายแมงดา”

เพื่อนๆที่มาเข้ารั้งแขนกันไว้ เพราะกลัวมีเรื่องถึงขั้นทำร้ายร่างกาย หมอเถาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ทั้งยืดอกท้าอย่างผ่าเผย...

“แกสาบาลต่อหน้าเจ้าพ่อหลักเมืองและพระแก้วมรกตซีว่า ข้าทายผิด ข้าจะยอมให้แกเตะกินเปล่า”

“ข้าไม่สาบาล ใครจะทำไมว๊ะ” เพื่อนๆเกรงจะขายหน้ายิ่งขึ้นและยิ่งดิ้นรนก็เลยช่วยกันฉุดลากออก
ไปให้พ้นๆไปเสีย แม้จะห่างออกไปก็ยังได้ยินเสียงตะโกนปฏิเสธโวยๆตลอดทาง...

หมอเถาทรุดตัวลงนั่ง เหนื่อยเหมือนคนวิ่งมาสัก 20 เส้น รำลึกถึงพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยแก้หน้า
ไว้ได้ ก็คุกเข่าหันหน้าไปทางศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ก้มลงกราบพอครบสามคาบจะเงยหน้าก็เห็นชาย
ผ้าเหลืองบังอยู่ตรงหน้า เมื่อเงยขึ้นอีกก็เห็นว่าเป็นจีวรพระภิกษุพอเห็นหน้าถนัด...

หมอเถาตะครุบข้อเท้าไว้ดีใจ “หลวงตาขอรับ”

หลวงตาชื้นหัวเราะว่า “เออ...ข้าเองหมอเถา เห็นหายมาตั้งแต่เช้าจนบ่ายไม่กลับ จึงออกมาตาม 
ข้ามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เริ่มทายเขาแล้ว ”

“ถ้าเช่นนั้นเสียงกระซิบนั่น เป็นของหลวงตานั่นเอง”

หลวงตายิ้มๆไม่ตอบ เพราะหันไปรับไหว้หมอสุริยันเสีย และออกปากชวนกลับวัด หมอสุริยันถือ
โอกาสเก็บข้าวของหอบกระเป๋าตามหลวงตาไปด้วยอีกคนหนึ่ง...

พอเริ่มออกเดินตามหลังหลวงตา เจ้าหลานชายนายถวัลย์ก็แอบเข้ามาใกล้หมอเถาส่งใบละร้อย
ที่นายชาวเกาะชูอวดทีแรกให้และอธิบายหัวเราะๆ ...


“ลุงหมอทายถูกใจดำเลยโกรธ กำลังปล้ำห้ามกัน ผมก็เลย

กระตุกจากมือเอามาเพราะเป็นค่าดูของลุงหมอ”

...เรื่องราวก็เอวังด้วยประการฉะนี้...

...พบกันใหม่กับบทความ + บทเรียน + นิยายโหราศาสตร์ ในลำดับต่อไปกันนะครับ...