...วันสุดท้ายในกรุงเทพมหานครฯ...
หลวงตาชื้นและศิษย์เป็นวันว่าง ธุระที่ตั้งใจมาสำเร็จเรียบร้อยแล้วและตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นก็จะออกเดินทางกลับวัดในต่างจังหวัด...
ตั้งแต่ฉันท์เช้าเสร็จ พอเสียงระฆังย่ำเหง่งหง่าง หลวงตาและมาหาครื้นก็พากันลงจากกุฏิไปลงอุโบสถเพราะเป็นวันพระ...
ครูก้อนก็ถือโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนฝูงที่เคยรู้จักมักคุ้นเก่าๆครั้งยังรับราชการครูมาด้วยกัน และมามีถิ่นฐานอยู่ในกรุงเทพฯชวนหมอเถาชมพระนครไปด้วยกัน หมอเถาก็ปฏิเสธ เพราะตั้งใจจะไปกราบพระแก้วมรกต...และเจ้าพ่อหลักเมือง ...
ทั้งก็อยากจะไปสนามพยากรณ์โคนมะขามซึ่งเป็นของแปลกแห่งเดียวในเมืองไทย...
เนื่องจากหมอเถาไม่ชินถนนหนทางในกรุงเทพฯ เพราะมิได้มาเสียนานจึงต้องมีคนนำทางซึ่งเป็นเพื่อนเก่า อายุเพิ่งเข้า 16 ซึ่งห่างกันร่วม 4 รอบ เมื่อ 2 ปีก่อนหนีออกจากบ้านที่ชุมพรซัดเซพเนจร
หมอเถาเก็บตกจากหน้าวัดพามารับความอุปการะจากหลวงตาชื้น ส่งเสียให้มาเล่าเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ โดยอาศัยอยู่กับมหาครื้นเป็นศิษย์วัดไปในตัว...
หมอเถาแต่งตัวเสร็จนานแล้ว เดินหมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากุฏิคอยผู้นำทางที่กำลังบรรจงแต่งตัว...
กระทั่งครูก้อนออกมาจากกุฏิถามขึ้น “ยังไม่ไปกันอีกรื้อหมอเถา”
หมอเถาบุ้ยปากและชี้มือ ครูก้อนมองตามก็เห็นเด็กน้อยที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มในปีนี้กำลังจัดกลีบเสื้อกางเกงอย่างประณีตจึงร้องเตือนแทน”
“เอ้า...เร็วๆ เจ้าหนุ่มน้อย นักเรียนทุนหลวง เว้ย”
หมอเถาฟังคำครูก้อนนึกดีใจ “อ้อ...เจ้าหนูน้อยของข้า สอบได้ทุนเรียนของรัฐบาลเร๊อะ เออ มันเก่งแท้”
ครูก้อนกลับหัวเราะเยาะ “โธ่...หมอเถาก็พลอยโง่ไปด้วย”
“โง่...ยังไง” หมอเถาเถียง “ทุนหลวงมันก็ทุนรัฐบาลน่ะซี”
ครูก้อนใช้นิ้มจิ้มหน้าหมอเถา “ทุนเล่าเรียนหลวง หลวงตาว่ะ”
หมอเถาถูกนิ้วจิ้มหน้าฉุนก็ฉุน ขันก็ขัน เพราะสำนวนศัพท์ครูก้อนเป็นความจริงกระทั่งเจ้าหนุ่มน้อยแต่งตัวเสร็จ ซ้ำสะพายย่ามครบชุด ทันสมัยวัยรุ่น...
หมอเถาพิศดูแล้วสัพยอก “เจ้าหนูของข้านี่มันรูปหล่อนา น่ากลัวจะต้องมีเมียเยอะ”
เจ้าหนูน้อยยิ้มรับคำชม “ต่อไปนี้ลุงหมอและลุงครูก้อนเรียกชื่อฉันตั้งชื่อตัวเองใหม่แล้ว”
ครูก้อนซัก “ชื่ออะไรล่ะ”
“ชื่อถวัลย์” เจ้าหนุ่มน้อยอธิบายทั้งเหตุทั้งผลเสร็จว่า “ผู้มีพระคุณเหมือนพ่อคือลุงหมอ ที่อุตสาห์
อุ้มชูฉันจากเด็กพเนจรจนได้ที่พึ่งหลวงตา ชื่อ “เถาวัลย์” ฉันเลยตัด “สระเอา” เหลือแต่ตัว “ถ” เป็น
“ถวัลย์ ให้คล้องจองกัน”
หมอเถาโอบกอดเจ้าหลานชายนอกไส้ที่มีกตัญญูด้วยความรักเปี่ยมหัวใจ แต่เจ้าหลานชายนาย
ถวัลย์กลับปิดป้องด้วยความเกรงเสื้อผ้าจะยับเสียรูป...
หมอเถาบรรจงนิ้วจับดูเสื้อและกางเกงเจ้าหนุ่มน้อยดูพิจารณา...
“เออสวยดี คงหลายเงิน..นี้ แต่ดูเสื้อมันหลวมโพรก เป็นปูข้างแรมว่ะ เจ้าหนูซื้อเสื้อผิดขนาดหรือเปล่า”
“นี่แหละแบบทันสมัยเปี๊ยบ ของหนุ่มกรุงเทพฯเขาละลุงหมอ เขาเรียกแฟชั่น 5 ย ”
ครูก้อนหัวเราะชอบใจ “ย.แย่ หรือเปล่าว๊ะคุณถวัลย์”
หมอเถาว่า “ชื่อเป็นอักษรย่อ ยังกะเครื่องแบบทหารเขา ลองอธิบายหน่อยรึ”
เจ้าหนุ่มถวัลย์พิจารณาดูเครื่องแต่งกายด้วยความภูมิใจหนักหนา...
“ย.ที่ 1 คือ ผมต้องยาวประบ่า ย.ที่ 2 คือ เสื้อใหญ่ ย.ที่ 3 ก็ต้องสวมกางเกงยีนส์ ย.ที่ 4 นั้น ต้องสะพายย่าม ย.ที่ 5 นั้นก็คือ สวมรองเท้ายาง”
ทั้งครูก้อนและหมอเถามัวคิดตามและตกตะลึกไปครู่ใหญ่กว่าจะหัวร่ออก เลยชัดเสียก๊ากใหญ่
และก่อนที่ครูก้อนจะแยกจากไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจึงยัดเยียดเงินจำนวนหนึ่งใส่กระเป๋าเสื้อ
หมอเถาไว้ให้เป็นทุนเที่ยวชมเมือง...
หมอเถาและมัคคุเทศน์ ออกจากวัดโดยไม่ยอมขึ้นรถขึ้นรา กลับเดินเลียบชมตึกร้านบ้านช่องไป
ตามท้องถนน เป็นการทัศนศึกษาในตัวเจ้าหลานชายถวัลย์ต้อยคอยฉุดคอยลากให้เดินต่อไป
เสมอ เพราะหมอเถาคอยแต่จะหยุดชมสินค้าในตู้โชว์ไปหมดทุกๆร้านไม่เว้น ...
จะข้ามถนนแต่ละแห่งต้องฉุดต้องจูงกันละล้าละลัง เพราะความตื่นกรุงตื่นรถยนต์ที่แล่นขวักไขว่
ไม่หยุดยั้ง หมอเถาเดินไปบ่นไปตลอดทางว่าเข็ดแล้วเมืองกรุงบางกอกอันศิวิลัย เพราะมีอันตราย
รอบตัวยิ่งกว่าเดินทางในป่าเดินป่านั้นคอยระแวงระวังแต่สัตว์ร้ายจะขบกัดทำร้าย และก็มีน้อยตัว
หลีกหลบก็ง่าย แต่เดินในเมืองหลวงนี้ไหนจะคอยระวังรถยนต์สวยๆที่มีมากยังกะมด จะมาคร่าชีวิต
แล้วยังต้องคอยระวังคนด้วยกันหน้าสวยๆจะคอยเล่นงานที่โดนมาแล้วจนหมดตัวเมื่อวันลงจากรถไฟ...
ลุงและหลานนอกไส้จูงมือกันลัดเลี้ยวมาหลายถนน จนถึงวัดพระแก้วตามที่ตั้งใจมา
หมอเถาเงยหน้าชมยอดเจดีย์ทองสุกอร่ามเป็นประกายอยู่กลางแดด ทั้งช่อฟ้าใบระกาอันสวยงาม
ด้งสวรรค์ จนเจ้าหลานต้องฉุดให้เดินต่ออีกเพราะมายืนชมอยู่กลางถนน...
เป็นวันอาทิตย์ผู้คนจึงหลายหลากมากมายเข้าสู่วัดพระแก้ว ทั้งพ่อค้าขายนกปล่อยและดอกไม้ธูป
เทียน ต่างเบียดเสียดกันตรงทางเข้าประตู เจ้าหลานถวัลย์จูงมือหมอเถาไว้กันหลง ทางเดินเบียดไป
ตามกระแสฝูงคน พอถึงธรณีประตู ก็ถูกหมอเถากระตุกมือให้หยุดชะงักอยู่กับที่...
เจ้าหลานถวัลย์สงสัยเหลียวมาถาม “หยุดทำไมอีกล่ะลุงหมอคนกำลังแน่นรีบเข้าไปเร็วๆเถอะ”
“เดี๋ยวซีว๊ะ” หมอเถายั้งกายให้ตัวตรง เพราะถูกคนเบียดหลั่งไหลจะเข้าประตู จนต้องหลีกหลบเข้าพิงกำแพงข้างประตู “ จะก้าวข้ามประตูเข้าไปมันต้องเคารพวิญญาณผู้เฝ้าประตูเขาเสียก่อน”
“ปัดโธ่ลุง”
“ไม่ปัดละว๊ะ เอ็งมันเด็กบ้านนอกไม่รู้อะไร” หมอเถาพูดเสียงขึงขังและชี้นิ้วลงหน้าธรณีประตู
“เมื่อตอนเขาสร้างเมืองกรุงเทพฯนี้เขาขุดหลุมฝังทั้งเป็น นายอิน นายจัน นายมั่น นายคงเอาไว้ใต้ธรณีประตูเมืองให้เป็นคนเฝ้าประตู จะข้ามเข้าไปมันต้องเคารพกราบเขาเสียก่อน”
“เอาซีถ้าลุงก้มลงกราบเดียวนี้ คงได้เป็นผีเฝ้าประตูแน่ เพราะผู้คนก็จะเหยียบติดแผ่นดินอยู่นี่แหละ
แล้วถ้าเขาจะฝังจริงมันตั้งเป็นร้อยๆปีมาแล้ว ประตูไหนก็ไม่รู้ประตูออกรอบวัง”
“ชั่งเถอะว๊ะ กราบที่ประตูนี้มันถึงกันเองทุกประตู” หมอเถาคันข้างเข้าถูกับเด็ก “งั้นกราบตรงนี้ก็ได้ว๊ะ”
หมอเถากราบฝากไว้ข้างกำแพงประตูทั้งยังบังคับขู่เข็ญเจ้าหลานถวัลย์ให้กราบตามตนจนได้ มิใยคนข้างๆจะมองอย่างสงสัยในสติสัมปรัญญะของหมอเถา...
พ้นประตูแรกเข้ามาแล้ว เมื่อผ่านประตูที่สองเข้าสู่ลานพระอุโบสถพระแก้วมรกต หมอเถาเหลียวดู
รูปปั้นสูงใหญ่ทั้งคู่ที่ยืนถือตระบองเฝ้าประตูอยู่ หมอเถาก็ยกมือพนมไหว้นอบน้อม...
เจ้าหลานถวัลย์หัวเราะเยาะเอานิ้วจี้สีข้างลุงหมอจนสะดุ้งตัวโก่ง...
“ลุงไปใหญ่แล้ว ไหว้กระทั่งรูปยักษ์เฝ้าประตูวัดก็ไหว้”
“เขาถึงว่า คนโง่มันไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” หมอเถาพูดหน้าบึ้งๆ“นี่แหละว่า เทพยดา เอ็งรู้ไว้เถอะ”
เจ้าหลานหัวร่อรวน แหงนดูรูปปั้น “เทวดา เขี้ยวโง้งเชียวน๊ะ”
“ข้าจะอธิบายให้ฟัง เอ็งไหว้ท่านเสียก่อนซิ” หมอเถาออกคำสั่งอีก...
“ไม่เอา..เจ้าหลานต่อรอง “ลุงอธิบายก่อน ถ้ามีเหตุผลดีน่าเชื่อ ผมถึงจะยอมไหว้”
หมอเถายึดอกอย่างภาคภูมิ อธิบายเสียงดังๆ...
“สถานที่นี้ ท่านสร้างเป็นเมืองชั้นในเป็นพระราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์ซึ่งท่านสมมติเป็น
เมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ดูซิที่ประทับท่านก็ตั้งเป็นชื่อสวรรค์ชั้นสุดของภพเทวดา เช่นพระที่นั่งดุสิตมหา
ปราสาท เพราะฉะนั้นสวรรค์ชั้นบนเมืองมนุษย์นี้ ก็ต้องมีเทพยาดารักษาประตูทั้ง 4 ทิศ เหมือนกับ
สวรรค์ชั้นฟ้ามหาจักรวาฬ ที่มีคัมภีร์กล่าวว่าเบี้องบรรพทิศนั้นท้าวธตรฐราชเป็นผู้ดูแลรักษา...
เบื้องปัจฉิมทิศนั้นท้าววิรูปักขราชเป็นผู้รักษา เบื้องอุดรนั้นท้าวไพศพมหาราชเป็นผู้รักษา ...
เบื้องทักษิณท่านท้าววิรุฬหกราชรักษา ทั้ง 4 ท่านเป็นเทพดาจ้าวพญาแห่งยักษ์มารทั้งปวง”
เจ้าหลานผู้เยาว์กว่า ถูกอ้างคัมภีร์นรกสวรรค์และเทวดาทั้ง 4 ทิศก็ยอมแพ้ยกมือไหว้เคารพโดยดี
ผู้คนที่เร่เข้ามาฟังหลานกับลุงเถียงกันแต่แรกก็พลอยยกมือไหว้ยักษ์ตามกันไปด้วย...
เพราะหลงเชื่อคำที่หมอเถาสอนหลาน...
แต่ยังมีบุรุษหนึ่งวัยคราวหมอเถา ยืนอมยิ้มสบตาอยู่ข้างๆมิได้จากไปเหมือนคนอื่นๆซ้ำยังถือวิสาสะ
ถามว่า...
“พ่อลุงถ้าจะเคยมาวัดพระแก้วบ่อยๆกระมัง”
หมอเถาตอบตามตรงไม่ต้องคิด “มาหนเดียว หลายสิบปีมาแล้ว”
ฉันเป็นคนงานกวาดวัดพระแก้วนี้มา ตั้งแต่เป็นหนุ่ม” แกบอกเสียงเรียบๆและชี้ไปที่ท่านฐานยักษ์
“ยักษ์พวกนี้เขาเขียนชื่อไว้ทุกตนเป็นยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ทั้งหมดแหละ ประตูทิศเหนือชื่อ...
มังกรกัณฐ์กับวิรุฬหก ประตูทิศใต้ชื่ออินทรชิตกับสุริยาภพ ประตูทิศตะวันออกชื่อ...
ทศคีรีวันกับทศคีรีธร ประตูทิศตะวันตกมี 3 ประตู ชื่อจักรวรรดิ์กับอัศกรรณมาลา ทศกรรณฐ์ ...
กับสหัสเดชะ มัยราพณ์กับวิรุญจำบัง...
ดูเหมือนหมอเถาจะไม่ทันฟังให้จบทุกประตู เพราะรู้ว่าตนพลาดเสียแต้มไปถนัด รีบจูงมือกึ่งลากเจ้าหลานชายไปเสียให้พ้นๆ...
แต่เจ้าหลานถวัลย์ยังหัวเราะอยู่หันบอกหมอเถาว่า ...
“ถ้าใครเขาชวนลุงไปเที่ยววัดโพธิ์ อย่าไปเทียวน๊ะ ลุงหมอ”
หมอเถาฉงน “ทำไมว๊ะเจ้าหนู”
“ระเบียงวัดโพธิ์ พระพุทธรูปเรียงเป็นพระอันดับรอบโบสถ์เป็นร้อยๆองค์ ลุงหมอต้องไหว้ตั้งแต่องค์แรกพอถึงองค์สุดท้ายก็แขนบวม”
“เช๊อะ...ข้าไม่โง่จนแขนบวมหรอกว่ะ ใช้วิธีพนมมือจบขึ้นเหนือหัว หมุนตัวกวาดรอบทั้ง 4 ทิศ แบบนักมวยไหว้ก็ได้ว๊ะ”
หมอเถาหัวเราะแล้วก็จูงข้อมือหลานชายแหวกผู้คนขึ้นสู่พระอุโบสถ จุดธูปเทียนปักหน้าโบสถ์แล้ว
คลานเข้าไปกราบพระแก้วมรกตซึ่งสถิตอยู่บนบุษบกทองคำสูงจนต้องแหงนหน้ามอง และเมื่อกลับ
ออกมาหัวใจเต้มเปี่ยมไปด้วยความปิติในกุศลกรรมที่ตนกระทำ สองลุงหลานชวนกันเลียบระเบียง
โบสถ์ชมภาพรามเกียรติ์ตามผนัง จนออกประตูหลังเข้าเขตพระบรมมหาราชวัง...
หมอเถาและเจ้าหนุ่มถวัลย์เดินชมความสวยงามอันโอฬารตั้งแต่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท วกอ้อม
ไปชมพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งบรมพิมาน และพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท ทุกพระ
ที่นั่งหมอเถาจะต้องเคารพนบไหว้อ่อนน้อม แม้กระทั่งพลับพลาจตุรมุขพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์
ปราสาท และแถมบังคับเจ้าหลานชายให้ไหว้ตามด้วย...
ขากลับออกมาแห่งสุดท้ายที่ตั้งใจมาก็คือศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ผู้คนเบียดกันสักการะ
แน่นขนัดอยู่ตลอดเวลา ทั้งอึกกระทึกครึกโครมเสียงกลองละครชาตรีแก้บนที่แสดงติดต่อกันมา
เป็นแรมเดือนแรมปีไม่ขาด หมอเถาเบียดเข้าไปจุดธูปเทียน และถวายทองปิดตามประเพณีและ
กราบขอสิริมงคล และขอพรให้ตนเองจงรุ่งเรืองในวิชาโหราศาสตร์ที่ตนรัก และไม่อาจอยู่นานได้
เพราะผู้คนทยอยเข้าออกสับสนอยู่ตลอดเวลา ทั้งตกเวลาบ่ายโมง เจ้าหลานถวัลย์ชวนกินข้าว
กลางวันแถวๆนั้น...
กระทั่งบ่ายแดดอ่อนลง...
หมอเถาและหลานหนุ่มก็ยังไม่หมดรายการท่องเที่ยวเพราะหมอเถาต้องการชมนักพยากรณ์โคน
มะขามหน้าศาลแพ่ง หมอเถาเดินสำรวจยืนชมไปตั้งแต่รายแรกที่พยากรณ์ไพ่ป๊อกบ้าง ลายมือบ้าง
ดวงดาวบ้าง ที่มีคนมาขอรับคำพยากรณ์ ยิ่งดูก็ยิ่งเพลิน มาจนถึงตอนกลางเป็นที่ร่มรื่นเพราะมะขาม
คู่ใบดกกว่าตอนอื่น หมอเถาหยุดเหม่อมองดูผู้คนเดินกันขวักไขว่ เสียงใครคนหนึ่งร้องกลอนลิเก
ทำนองราชนิเกริงได้ยินถนัด...
“มาแลพบประสบภักตร์
เพื่อนเอ๋ยเพื่อนรักแต่ก่อนเก่า
แสนยินดีปรีดาที่พบหน้า...หมอเถา”
พอลงท้ายระบุชื่อตนหมอเถาก็เหลียวขวับหาตัวผู้ร้อง เป็นนักพยากรณ์ปูเสื่ออยู่โคนมะขาม
และนั่งยิ้มแย้มนัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่หมอเถา...
“โอ้...หมอสุริยันนั่งเอง เออดีใจจริงที่ได้พบ”
หมอเถากระปรี้กระเ่ปร่าดังเด็กพบเพื่อนๆ จูงมือเจ้าหลานถวัลย์เข้าไปนั่งลงบนเสื่อ...
หมอสุริยันลิเกเก่าก็ดีใจเช่นกัน...
“ไม่ได้พบกันเสียนาน ตั้งแต่คราวก่อนที่แวะไปกราบเท้าหลวงตาชื้นที่วัด ท่านกรุณาแนะมาให้บ้าง
แม้จะเล็กๆน้อยๆก็เป็นประโยชน์แก่ผมเหลือเกิน ทำให้ทำนายทายทักได้คล่องตัวขึ้นแยะ เดี๋ยวนี้มี
แขกประจำมากพอเลี้ยงตัวได้ เลยไม่ต้องเร่ร่อนขึ้นเหนือลงใต้เหมือนแต่ก่อนๆ คิดถึงหลวงตาท่าน
เหลือเกิน”
หมอเถาอ้าปากค้าง เพราะพ่อหมอสุริยันพูดเสียคนเดียวยืดยาวตลอดเรื่อง ถ้าหมอเถาไม่โบกมือ
หมอสุริยันคงพูดต่ออีก...
“หลวงตาและครูก้อนก็ลงมาด้วยกันและตั้งใจจะกลับพรุ่งนี้แหละและเวลานี้พักอยู่กับมหาครื้น”
หมอสุริยันใจร้อนรวบเครื่องทำมาหากินนับแต่ป้ายโฆษณาดูแม่นๆและปูมโหรลงใส่กระเป๋าหนัง
“งั้นไปด้วยกัน ผมอยากจะไปกราบเท้าขอบพระคุณพระเจ้าตาผู้มีพระคุณ บางทีอาจได้เพชรร่วง
ของโหราศาสตร์มาอีก”
หมอเถาขืนข้อมือที่เก็บของห้ามไว้ “จะไปก็ได้ แต่ผมเดินชมวัดวาอารามตั้งแต่เช้าเมื่อยขาเหลือเกิน
ขอพักสักครู่ เดี๋ยวค่อยไปด้วยกัน”
หมอสุริยันเป็นคนช่างเจรจา คุยเล่าไปหลายเรื่องหลายราว และก็ต้องวนเวียนยกย่องชมเชย...
หลวงตาชื้นว่าเป็นเอกบุรุษในทางโหราศาสตร์...
“หมอเถามีบุญที่ได้เป็นศิษย์เอกใกล้ชิดหลวงตา คงได้รับถ่ายทอดของดีไว้มากๆ ถ้าพ่อหมอเถา
มาปูเสื่อโคนมะขามนี่พักเดียวต้องเอาเงินใส่ปี๊บกล้บบ้าน”
หมอเถาถูกชมชักกระดากจึงออกตัว "ผมยังเป็นนักเรียนชั้นประถมโหราศาสตร์ ไม่เก่งกาจอย่างที่
หมิสุริยันคิดหรอก ยังต้องเรียนรู้อีกมาก "
หมอสุริยันยังคงรำพรรณต่อไปอีก “บางทีผมก็นึกท้อๆในโหราศาสตร์ ยิ่งเรียนรู้มากยิ่งโง่ ยิ่งใช้กฎพยากรณ์มากครูมากอาจารย์เข้ายิ่งยุ่งใหญ่ เกือบๆจะเลิกหลายหน หนสุดท้ายพบหลวงตาของ
หมอเถาเข้านี่แหละค่อยมีกำลังใจขึ้น”
หมอเถาออกความเห็นว่า “ การพยากรณ์นี้ใช้มากครูมากอาจารย์ไม่ดีแน่ สู้อาจารย์เดียวกฎเดียว
ไม่ได้ เพราะไม่ปนกันเลอะเทอะ ”
“อ้ายจริงน่ะก็จริงหรอก แต่ไม่รู้เหตุผลว่ามันเพราะเหตุใด”
หมอเถานึกถึงคำของหลวงตาชื้นอาจารย์เคยเล่าไว้ ก็เอามาเล่าต่อเป็นอุทธาหรณ์
“หลวงตาเคยเล่าให้ฟังว่า ผู้ใหญ่บ้านที่เมืองกาญจน์คนหนึ่งแกปลูกบ้านอยู่ห่างชาวบ้าน เพราะแก
เป็นคนเก่าแก่และมีญาติมากจึงไม่ใคร่เกรงโจรผู้ร้าย ตอนนั้นโจรสุพรรณกำลังชุกชุม คืนหนึ่งก็เข้า
ปล้นบ้านแกเข้าจนได้ แกอยู่บ้านคนเดียว ลงจากเรียนก็ไม่กล้าเพราะเสียงปืนข้างล่างดังไม่ต่ำกว่า
สิบลำยิงกราดขึ้นมาบนเรือน อีตอนตัดสินใจลงจากเรือนก็เพราะพวกโจรมันโยนคบไฟขึ้นมาบนเรือน เป็นลูกไม้โจรที่ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาเงิน เพราะเจ้าทรัพย์กลัวบ้านไหม้จะรวบรวมติดตัวโดดจากเรือนหนี ได้ครบทุกบาททุกสตางค์ ผู้ใหญ่บ้านแกอารามตกใจรวมเงิน และทองหยองใส่ย่าม...
และคว้าห่อพระทั้งห่อใหญ่บนหิ้งบูชาใส่ย่าม โดดหน้าต่างเรือนหนี ปืนโจรร่วม 10 ลำ ยิงเข้าใส่ดัง
จนหูแทบดับ กระสุนปืนสักนัดเดียวก็ไม่ระคายหนัง เสื้อผ้าแกขาดกระจุยเพราะกระสุนเหลือแต่ตัว
เปล่าๆกับย่ามเงินและพระห่อใหญ่ วิ่งแก้ผ้าโทงๆหนีโจรเข้าป่าเอาตัวรอดไปจนได้”
เจ้าหลานถวัลย์นั่งอ้าปากฟัง อดออกความเห็นไม่ได้ “ลุงหมอไม่เห็นเกี่ยวกับโหราศาสตร์ตรงไหนเลย”
“เดี๋ยวซีว๊ะเจ้าหนู ขอหยุดหายใจก่อน” หมอเถาหันไปค้อนเจ้าหลานชายที่ขัดคอกลางคัน
ชาวบ้านลือกันทั้งเมืองว่าแกหนังดีนัก เวลาแกมีราชการไปจับผู้ร้าย แกต้องเอาพระห่อใหญ่นั้นซึ่งมี
อยู่ร่วม... 100 องค์นั้นใส่ย่ามสะพายไหล่จนเอียงไปด้วยทุกครั้งเพราะไม่อาจเลือก รู้ได้ว่าองค์ไหนศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยชีวิตแกไว้ แกก็เลยพกทั้งห่อใหญ่ตลอดมาหลายปี”
หมอสุริยันเข้าใจทันทีเพราะประสบกับตนเองมาในเชิงโหราศาสตร์...
“นั่นนะซี ผมเองเวลานี้ก็ตกที่นั่งผู้ใหญ่บ้านเมืองกาญจนบุรีเหมือนกัน ทำนายใครเขาใช้กฎข้อนั้น
บ้างข้อนี้บ้าง บางทีกฎนั้นถูก บางทีกฎข้อนี้ถูก ผลสุดท้ายก็เลยต้องหอบเอาทุกกฎมาใช้เวลาทายเขาทุกทีจะทิ้งก็ไม่กล้า”
“ถ้าใช้พระเครื่ององค์เดียวได้เมื่อไร เมื่อนั้นเป็นนักพยากรณ์”
หมอเถารำพึงบอกหมอสุริยันและตนเองด้วย...
เสียงเอะอะเฮฮาดังมาจากต้นทางซึ่งเป็นทางเดิน ผู้คนหลีกหลบเป็นช่อง เป็นกลุ่ม ชายวัยกลางคน
ที่อยู่ในอาการมึนเมาสุรา โดยเฉพาะคนรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูท่างจะเมามากกว่าคนอื่นๆเพราะส่งเสียง
เอะอะ แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องสนุกสนานมากกว่าจะก่อเหตุวุ่นวายและพอผ่านหน้าหมอเถาชายนั้นเหลียว
ดูป้ายหมอสุริยันที่เขียนตัวโตๆว่า “ดูแม่นๆ” ก็สบัดมือจากเพื่อนๆเลี้ยวขวับเข้ามานั่งแปะลงตรงหน้า
หมอเถา...
หมอเถาใจหายวูบไม่รู้ว่ามาดีมาร้าย แต่ก็ยังยิ้มสู้เอาไว้ก่อนตามวิสัยชายชาตรี
ชายนั้นเอื้อมมือคว้าป้าย “หมอดูแม่นๆ” เอามาถือให้หมอเถาดูและถามจ้องหน้า
“แม่นแน่เร๊อะ...หมอ ฉันจะดู”
หมอเถาอึกอักเหลียวมองหน้าหมอสุริยันเจ้าของป้าย แต่หอมสุริยันพยักเพยิด “เชิญหมอเถาเถอะ”
หมอเถาร้อง “อ้าว...”
“ไม่ต้องอ้าว...เรานี่แหละ” ชายนั้นชี้หน้าหมอเถากลิ่นเหล้าคลุ้งและควักธนบัตรใบละ 100 บาท ออก
มาชูอวด “ถ้าทายถูกจ่ายหมดร้อย ถ้าผิดอดเลย ...
ถ้าเป็นหมอแล้วไม่ดู ก็เอาสระอาใส่ท้ายชื่อแล้วหลบไปให้พ้น”
หมอเถาถูกสบประมาทซึ่งๆหน้า แม้คนพูดจะเมามายก็ไม่วายเลือดขึ้นหน้าจนชา ความคิดแต่แรกที่
จะหลบหลีกเกรงมีเรื่องก็หมดไปจากหัวใจ ย้อนถามเอาบ้าง...
“ถ้าไม่อยากเป็นหมอสระอา ก็ต้องดูกันยังงั้นซีน๊ะ”
“ใช่แล้ว...” เขาตอบลากเสียหัวร่อร่วนกวนโมโห เพื่อนๆสามสี่คนที่ยืนห้อมล้อมแทนที่จะห้ามกลับ
เฮฮาสนับสนุน และผู้คนที่อยู่ใกล้ๆได้ยินเสียงเอะอะกะเร่เข้ามาล้อมฟังเป็นกลุ่มใหญ่...
หมอเถาก็ชาติชายที่ติดไปตายเอาดาบหน้า เรื่องจะยอมเสียหน้าเสียศักดิ์ชายนั้นยอมไม่ได้
เสียแล้ว จึงตัดสินใจพยักหน้า...
“เอ้าบอกวันเดือนปีมา เรื่องเงินไม่สำคัญ”
หมอสุริยันจัดแจงจดวันเดือนปีและเวลาเกิดตามที่นักเลงสุราบอก และเปิดปูมโหรคำนวณดวงดาว
และวางลัคนาเสร็จ แล้ววางตรงหน้าหมอเถาและตนเองซึ่งใจคอเต้นไม่เป็นส่ำเพราะตื่นเต้นก็ชะโงก
อ่านดวงช่วยอีกแรงหนึ่ง...
“หลวงตาสอนให้ดูอะไรก่อน” หมอสุริยันกระซิบ
หมอเถาก็กระซิบตอบ “หลวงตาสอนให้ดูตนุลัคน์ว่าเขาเป็นอย่างไร”
หมอสุริยันเป็นคนพูดพันๆปากง่ายๆและพยายามอวดรู้ “จันทร์ธาตุดินเป็นตนุลัคน์ ไปอยู่ราศีมีน
ธาตุน้ำ ลัคนาเองก็อยู่ราศีกรกฎธาตุน้ำ ดินอยู่กลางน้ำ ตัวเองก็อยู่กลางน้ำ เอ๋...มันแปลกจริงๆ”
หมอเถากำลังโกรธปนกลัว ความคิดระส่ำระสาย เพราะไม่เคยตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ...
จึงเผลอตัวคิดดังๆออกมาไม่ทันยั้ง ...
“งั้นก็เป็นชาวเกาะแน่”
เจ้าของดวงชะตาทวนคำเสียงดังลั่นบอกเพื่อน...
“เฮ้ย...เขาว่าอั๊วเป็น ชาวเกาะว่ะ”
เสียงฮาครืนจากเพื่อนๆของชายนั้น คนหนึ่งในจำนวนนั้นดัดเสียงแหลมถามกวนโทโส...
“คุณพี่ เขาเกิดที่อีสานแล้วมาอยู่กรุงเทพฯมีเกาะที่ไหน มิทราบ”
คนนอกที่ล้อมวงอยู่พลอยหัวเราะคิ๊กคักสนุกสนานไปด้วย หมอเถาอายจนเหงื่อแตกตัวเบาหวิว
แทบจะเป็นลม นึกเสียใจตัวเองว่าไม่ควรเลย นึกถึงครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเพิ่งกราบ
ขอพรมาเมื่อครู่...
บัดดลนั้นเอง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเฮฮาจนฟังไม่สรรพ เสียงแผ่วๆเหมือนใครบอกอยู่ข้างหูว่า...
“เถาเอ๋ย ดูเสาร์ปัตนิร่วมอาทิตย์กดุมภะ พฤหัสศุภะก็เล็งจันทร์”
หมอเถาขนลุกซู่ หันไปยกมือไหว้ทางศาลเจ้าพ่อหลักเมืองปัญญาสว่างแวบเหมือนได้ไฟส่องทาง
“ใช่แล้ว...อาทิตย์เจ้าเรือนกดุมภะเป็นคู่ธาตุกับเสาร์ในเรือนปัตนิ การเงินของตนเป็นหลักฐาน
เพราะเมีย ซึ่งมีฐานะมั่นคง จันทร์ตนุลัคน์ไปอยู่ภพศุภะอันเป็นที่พึ่ง และพฤหัสที่พึ่งมาก็มา
เป็นปัตนิ ใช่แล้วชาวเกาะแน่ๆ”
หมอเถาแหงนหน้ามองไปรอบวงอย่างอาจหาญต่อเสียงหัวเราะเยาะและประกาศก้องว่า...
“ชาวเกาะแน่ เกาะเมียกิน”
เท่านั้นเอง เสียงหัวเราะรอบๆวงล้อมกลายเป็นเสียงฮาครืน
พร้อมกัน เจ้าของดวงชะตาโกรธจนตาแดง ฮึดฮัดลุกขึ้นชี้หน้า
“ไอ้หมอ...แกว่าข้าเป็นผู้ชายแมงดา”
เพื่อนๆที่มาเข้ารั้งแขนกันไว้ เพราะกลัวมีเรื่องถึงขั้นทำร้ายร่างกาย หมอเถาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ทั้งยืดอกท้าอย่างผ่าเผย...
“แกสาบาลต่อหน้าเจ้าพ่อหลักเมืองและพระแก้วมรกตซีว่า ข้าทายผิด ข้าจะยอมให้แกเตะกินเปล่า”
“ข้าไม่สาบาล ใครจะทำไมว๊ะ” เพื่อนๆเกรงจะขายหน้ายิ่งขึ้นและยิ่งดิ้นรนก็เลยช่วยกันฉุดลากออก
ไปให้พ้นๆไปเสีย แม้จะห่างออกไปก็ยังได้ยินเสียงตะโกนปฏิเสธโวยๆตลอดทาง...
หมอเถาทรุดตัวลงนั่ง เหนื่อยเหมือนคนวิ่งมาสัก 20 เส้น รำลึกถึงพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยแก้หน้า
ไว้ได้ ก็คุกเข่าหันหน้าไปทางศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ก้มลงกราบพอครบสามคาบจะเงยหน้าก็เห็นชาย
ผ้าเหลืองบังอยู่ตรงหน้า เมื่อเงยขึ้นอีกก็เห็นว่าเป็นจีวรพระภิกษุพอเห็นหน้าถนัด...
หมอเถาตะครุบข้อเท้าไว้ดีใจ “หลวงตาขอรับ”
หลวงตาชื้นหัวเราะว่า “เออ...ข้าเองหมอเถา เห็นหายมาตั้งแต่เช้าจนบ่ายไม่กลับ จึงออกมาตาม
ข้ามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เริ่มทายเขาแล้ว ”
“ถ้าเช่นนั้นเสียงกระซิบนั่น เป็นของหลวงตานั่นเอง”
หลวงตายิ้มๆไม่ตอบ เพราะหันไปรับไหว้หมอสุริยันเสีย และออกปากชวนกลับวัด หมอสุริยันถือ
โอกาสเก็บข้าวของหอบกระเป๋าตามหลวงตาไปด้วยอีกคนหนึ่ง...
พอเริ่มออกเดินตามหลังหลวงตา เจ้าหลานชายนายถวัลย์ก็แอบเข้ามาใกล้หมอเถาส่งใบละร้อย
ที่นายชาวเกาะชูอวดทีแรกให้และอธิบายหัวเราะๆ ...