วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พรสวรรค์และพรแสวง



                        ...คุยกันในเรื่องเรียนรู้โหราศาสตร์...



...ในระบบโหราศาสตร์ทุกระบบไม่ว่าจะเป็น
...โหราศาสตร์ไทยหรือ...โหราศาสตร์สากล...
...จะมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ประการคือ...

      ๑.จักรราศี

    ๒.ดาวพระเคราะห์

    ๓.เรือนชาตา

...ส่วนประกอบทั้ง ๓ ประการนี้...
...จะมีความหมายและหลักในการใช้เหมือนกันหมด
...ไม่ว่าจะเป็นระบบใด...
...แต่ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ระบบนั้น...
...บางระบบอาจจะใช้เฉพาะการผสมกันระหว่าง...

...ดาวพระเคราะห์กับเรือนชาตาหรือ...
...ดาวพระเคราะห์กับดาวพระเคราะห์...
...ส่วนระบบยูเรเนียนบางระบบใช้เฉพาะ...

...การผสมกันของเรือนชาตากับดาวพระเคราะห์...
...เหมือนกับโหราศาสตร์ไทยทั่วไป...

...แต่ก็มีบางระบบที่ใช้การผสมกันทั้ง...
...จักรราศี...ดาวพระเคราะห์...
...และเรือนชาตา...ทั้งหมดเลย...

...วิชาโหราศาสตร์นี้เป็นทั้ง " ศาสตร์ " และ " ศิลป์ " 
...ซึ่งรวมอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ออก...
...มิใช่ว่าการเรียนรู้โหราศาสตร์จนจบทฤษฎีแล้วนั้น...
...จะสามารถทำนายทายทักผู้คนได้อย่างแม่นยำ
...และเฉียบ...ขาด...

...เพราะความหมายของ...
...ดวงดาว...เรือนชาตา...จักรราศี...
...มีความลึกซึ้งเกินกว่าที่ทุกคนจะเรียนรู้ได้แตกฉานได้...
...ในเวลาอันสั้นๆ...เพียงไม่กี่วัน...
...ไม่กี่เดือน...หรือว่าไม่กี่ปี...

...ขั้นแรกทุกคนจะต้องมีความเข้าใจก่อนเป็นพื้นฐาน...
...และที่สำคัญ...ผู้ที่จะทายดวงชาตา อนาคตได้แม่นยำนั้น...
...จะต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ก็คือต้องมีทักษะ...
...และสิ่งที่เรียกว่า " ญาณ "...หยั่งรู้ที่มีมาแต่กำเนิดด้วย...

...โหราจารย์แต่โบราณสามารถทายอนาคตได้อย่างแม่นยำ
...ดุจดั่งมี " อนาคตังสญาณ "
...เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก...
...เช่น...ท่านโหรญาณได้เคยทายกับเพื่อนโหรด้วยกันว่า...
...ขุดลงไปตรงนี้...จะมีปลาอยู่ ๔ ตัว "ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้...
...แต่พอได้ขุดลงไปจริงๆกับปรากฏพบว่ามีปลา ๔ ตัว...
...อยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆในดินตรงนั้นจริง...? 

...อีกท่านหนึ่งคือ...ท่านขุนชอบ...ปรมาจารย์วิชา ๑๐ ลัคนา
...ท่านพูดกับคนสนิทว่า ...
"วันนี้มีเคราะห์...คิดว่าวันนี้จะไม่ออกไปไหนดีกว่า" 
...พอกล่าวจบ ท่านก็เิดินขึ้นบันไดไปบนบ้านเพียงไม่กี่ขั้นบันได
...ปรากฏว่ากระดานไม้ผุ...ทำให้ร่างท่านล่วงลงมา ๒ ขั้นบันได
...บาดเจ็บเล็กน้อย...
...ท่านก็บ่นพึมพำขึ้นมาว่า...
..." ขนาดรู้ว่าจะมีเคราะห์ อยู่บ้านแท้ๆ ยังโดนจนได้นะนี่ "

...อ.พลูหลวงเคยเขียนในบทความของท่านว่า...

มีเพื่อนโหรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ อ.สังข์ [ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ] 
ทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ 
...กล่าวคือ...
อ.สังข์มาที่บ้าน อ.พลูหลวงมองไปที่ตู้โชว์มีกล้องถ่ายรูปวางอยู่ 
...๑ ตัว...แต่ท่านกลับกล่าวขึ้ันมาว่า...
"ต่อไปในอนาคต...คุณจะมีกล้องทั้งหมด ๙ ตัว..." 
...ซึ่งในตอนนั้นท่าน อ.พลูหลวงก็ได้แต่แปลกใจเท่านั้นเอง...
...แต่กาลต่อมาอีกหลายปี อ.สังข์ ถึงแก่กรรมไปแล้ว...
...ท่าน อ.พลูหลวงก็มีกล้องถ่ายรูป...อยู่ในตู้โชว์ ๙ ตัว
...จริงตามคำทำนายของ อ.สังข์... [จริงทั้งหมด] ...

...ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ที่ไม่มี...ญาณพิเศษ...ก็ไม่ต้องตกใจนัก...
...เพราะญาณพิเศษก็คือ " พรสวรรค์ " 
...ส่วนความขยันก็คือ " พรแสวง " นั่นเอง...
...ในเมื่อเราไม่มีพรสวรรค์...เราก็ต้องยึดมั่นในบทเรียนของ
...วิชาต่างๆที่เรียนรู้ และซ่อมแซม...
...ส่วนที่ขาดตกบกพร่องของเรา...
...เช่นพยายามรวบรวมสถิติ...แสวงหาตำราจาก อ.ต่างๆ
...ที่ทรงคุณวุฒิฯ มาเสริมให้รัดกุมขึ้นมาอีก...

การที่เราจะเรียนวิชาโหราศาสตร์จากตำราต่างๆซึ่งแตกต่าง
สำนักกันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม...
...วิชาโหราศาสตร์จาก อ. ผู้ทรงคุณวุฒินั้นๆ 
...ล้วนมาจากรากฐานเดียวกันมาทั้งสิ้น...
...เพียงแต่แตกต่างออกไปจากกันบ้างบางส่วน ...
...แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งของเดิมที่ได้ศึกษากันมาแต่แรกเริ่ม...
...กฏเกณฑ์โหราศาสตร์ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ...
...ตามโบราณที่กล่าวไว้ว่า...
...อันความรู้...รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว...
...แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล...
...ถ้าจะตีความกันจริงๆนั้นหมายความว่า...

...คนเราถ้าจะศึกษาในวิชาใดก็ตาม
ถ้าหมกมุ่นพากเพียรในวิชานั้นๆ...
...ก็จะเกิดความสำเร็จตามมาอย่างแน่นอน... 
...เช่นศึกษาโหราศาสตร์ก็ทุ่มเทให้กับวิชานี้
... ถ้าศึกษาวิทยาศาสตร์ก็พากเีพียร คิดค้น ค้นคว้าฯลฯ 
...ถ้าศึกษาดาราศาสตร์ก็มุมานะอย่างเต็มที่กับงานดาราศาสตร์...

...มีผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์บางคน...
...คิดว่าความหมายของกลอนหมายถึง...
...การที่จะต้องเรียนรู้กับครูบาอาจารย์เพียงท่านเดียว
ก็จะประสพความสำเร็จตามคำกลอน
...น่าจะไม่ถูกต้องนัก......นั้นเพราะว่าวิชาของสำนักโหรทั้งหลายรวมเรียกขานก็ต้องใช้คำว่า...วิชาโหราศาสตร์ทั้งสิ้น 
เพราะเป็นวิชาแขนงเดียวกัน ชื่อเหมือนกันแต่จะแยกเกร็ดเคล็ดลับ
ออกไปเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องมีเค้าโครงจากของเดิมมาก่อนแล้วทั้งสิ้น...

...นิทานหรือนิยาย ย่อมต้องนำมาจากของจริง ชีวิตจริงล้วนๆ ดังนั้นผมจึงยกตัวอย่างมากล่าวดังนี้...

...เปรียบเทียบกับวิชาของสำนักเสียวลิ้มยี่ซึ่งเป็นต้นแบบวิชาหลักที่มาตราฐาน...
...แต่ก็มี อ. หลายๆท่านออกไปตั้งสำนักใหม่ขึ้นมาและคิดค้นวิชาประจำสำนักขึ้นมาใหม่...
...แต่ก็แตกแขนงมาจากพื้นฐานเดิมทั้งสิ้น...เช่นท่านเตียซำฮง...ปรมาจารย์สำนักบู๊ตึ๊ง ก็มาจากสำนักเสียวลิ้มยี่
...ท่านก๊วบเซียงปรมาจารย์สำนักง่อไบ๊ก็มาจากรากฐานของ
เสียวลิ้มยี่เช่นกัน...ดังนั้น...
...หากเรียนรู้วิชาต่างๆได้ครบสิ้นกระบวนความ...
เวลาออกรบ...ก็สามารถใช้ได้ทั้ง...
...ดาบ...กระบี่...มีดสั้น...หอก......ธนู...และปืนฯลฯ 
...แล้วแต่ว่าจะหยิบฉวยอะไรได้ก่อน...

..ดังนั้นเวลาดวงชาตาให้ผู้คน...แรกๆใช้วิชาเบสิค มองไปใน
ดวงชาตาก็เห็นแนวทางของ อ.ส.ไชยนันท์ขึ้นมา...
มองไปไปทางด้านหนึ่งก็เห็นแนวทางของ อ.อรุณ ลำเพ็ญมองไป
อีกมุมก็เห็นแนวทางของ อ.ประทีป อัครา
...ถ้าเกิดเริ่มตัน...ก็เห็นแนวทางของ อ.พลูหลวงเข้ามาช่วยได้ทันท่วงที...ดังนั้นเวลาดูดวงชาตาคน...
...ก็สามารถหยิบฉวยวิชาของปรมาจารย์ต่างๆเอามาใช้ได้อย่าง
ทันท่วงทีไม่มีการอับจนอย่างเด็ดขาด...

...เวลาดูดวงชาตานั้น...ตัวเรา ประสาทตา ความนึกคิด วิ่งรวดเร็วยิ่งกว่า คอมพิวเตอร์เสียอีก...
ยิ่งถ้าเรามีข้อมูลหลักวิชาในสมองบรรจุอยู่แล้วอย่างเต็มเปี่ยม...
การทำนายก็จะไม่เป็นปัญหาใดๆแน่นอน
...เรียกว่าดูดวงได้แบบที่ว่า " คม...ชัด...ลึก..."อย่างแน่นอน...

...สรุปได้ว่า...ในเมื่อเราไม่มี...พรสวรรค์...
...เราก็ต้องขวนขวายให้มี...พรแสวง...ให้จงได้...
...แต่ถ้าผู้ใดมีทั้ง...พรสวรรค์และพรแสวง...ทั้ง ๒ อย่าง...
...จัดเป็นสุดยอดโหราจารย์ในทางโหราศาสตร์อย่างแท้จริง...

...สิ่งสำคัญที่จะเรียกว่าเป็นโหราจารย์ต้องสำเร็จทั้ง ๓ ภาค
ของวิชาโหราศาสตร์ครบถ้วนคือ...

๑. ภาคคำนวณ
๒. ภาคพยากรณ์
๓. ภาคพิธีกรรม

...ท่านโหราจารย์ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมจนท่าน อ. ส.ไชยนันท์
ได้ตั้งฉายาชื่อว่า " วิญญาณโหราศาสตร์ " 
...โหราจารย์ท่านนั้นก็คือ...ท่าน อ.พลูหลวง...
ผู้ล่วงลับไปแล้ว...นั่นเอง...
...และท่าน อ. ส.ไชยนันท์ย่อมต้องเป็น...วิญญาณโหราศาสตร์
ด้วยเช่นกัน...
...เปรียบดั่ง...พระอรหันต์ด้วยกัน...ย่อมรู้วาระจิตซึ่งกันและกัน...
...เป็นเยี่ยงนี้อย่างแน่แท้...แล้วพบกันใหม่...สวัสดีครับ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น