ออกมาเป็นใจความของแต่ละดวงชาตาจากวิชา...
"โหราศาสตร์"
...ซึ่งเป็นวิทยาการเก่าแก่มีมานานคู่กับมนุษย์โลกวิชาหนึ่ง โหราศาสตร์ไม่ใช่วิชาลึกลับ
ซับซ้อน ซ่อนเร้นแต่อย่างไร ความยุ่งยาก...วุ่นวาย สับสนเกิดจากตำรับ ...ตำราหรือ...
ครูบาอาจารย์ผู้สอนนำเอากฏเกณฑ์ที่น่ามึนงง สับสน เอามาใช้กันต่างหาก เอาตำรา
มาปู้ยี่ปู้ยำ ใช้กันอย่างสะเปะสะปะ หรือกฏเกณฑ์ต่างๆที่ล้าสมัยทำให้ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียน
ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆเพราะไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จำกันไปผิดๆเสียมาก การประสบ
ความสำเร็จจากการเรียนโหราศาสตร์เกิดขึ้นจากการพยายามจดจำหลักเกณฑ์ที่สำคัญ
ต่างๆ เช่น ทำความเข้าใจกับราศีทั้ง ๑๒ ให้ได้อีกทั้งรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆมีจักรราศี
ดวงดาว เรือนชาตา ภพเรือน ตรีโกณ จตุโกณฑ์ มุมโยค มุมเบียน มุมเล็งฯลฯ ...
...มาในปัจจุบันนี้โลกได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดูจากสมัยก่อนดูการ์ตูนเรื่อง
" ยุคจรวด " ในการ์ตูนมีบันไดเลื่อน ตอนที่ดูในตอนนั้นรู้สึกน่าเหลือเชื่อ แต่ในปัจจุบัน
ก็สามารถทำได้มาตั้งนาน-นมมาแล้ว และอีกหลายๆเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปแล้ว
อย่างสวยงามหมดจด...แต่ดั้งเดิมมาในวิชาโหราศาสตร์ก็ยังไม่มีดวงดาวที่มีความหมาย
ถึงแอร์ เพราะในสมัยก่อนประเทศเรายังไม่มีเครื่องปรับอากาศใช้กัน แต่ว่ามาในปัจจุบันมี
ใช้กันอยู่ดาษดื่นทั่วไป...
...ดังนั้นท่าน อ.ส.ไชยนันท์ก็เอาดวงดาวมาประยุกต์ว่า ดาวจันทร์หมายถึงน้ำ ดาวมฤตยู
หมายถึงเครื่องไฟฟ้า ดาวเนปจูนหมายถึง เคมีเมื่อเวลาที่ดาว ๒ จรมากุมดาว ๐ และเกี่ยว
ข้องในทางโยค หรือกุมกันกับดาวเนปจูนในเรือนอริ มรณะ วินาสน์ แปลว่า น้ำยาแอร์มี...
มีปัญหา ก็นับว่าเป็นความคิดที่แยบยลดี และถูกต้องดี...ทันสมัยมากๆนะครับ...ความจริง
เรื่องเอาดาวมารวมกันแล้วแปลความหมายออกมามีมาตั้งแต่โบราณแล้ว...
...อาทิสูตรผสมดาวของท่าน อ.พ.อ [ พิเศษ ] เอื้อน มนเทียรทอง ก็มีมานานแล้วซึ่งอยู่ใน
ตำรา " ครูโหร " ของท่าน ยังมีของท่าน อ.สิงห์โต สุริยาอารักษ์ ก็มีอยู่ในตาราโหราศาสตร์
ของท่านเช่นกัน...ระบบนี้ทางโหราศาสตร์ไทยบางสำนัก อาจจะไม่ยอมรับกันนัก...แต่ที่จริง
ผมว่า ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์สากล หรือโหราศาสตร์ไทยก็มาจากต้นตอเดียวกันนั่นแหละ
ถ้าเรารู้จักนำมาผสมกันแบบตำน้ำพริกโดยใช้ครกหิน...ก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างสนิทชิด
เชื้อเหมือนกับตำน้ำพริกเช่นกัน...
...ถึงแม้ว่าจะเป็นวิชาประเภทอื่นๆ เช่น ไพ่ยิปซี เลข ๗ ตัว กร๊าฟชีวิต ฯลฯ ถ้านำเอาความ
หมายและการผสมกันของดวงดาวเข้าไปผนวกเข้าด้วยกัน ก็น่าจะเกิดผลดี ผลงามขึ้นมา
ไม่ใช่น้อยทีเดียว...เพราะผู้ที่เป็น" โหร " หรือ " หมอดู " จุดประสงค์หลักก็คือทำนายดวง
ชาตาให้ผู้คนเหมือนกัน ผิดกันก็คือเป็นคนละแขนงเท่านั้นเอง...ผมว่า...ผู้เป็นโหรทำนาย
ดวงชาตาจากดวงดาว ฯลฯ วิชาอื่นๆก็ทำนายดวงชาตาจากสื่อต่างๆกันเช่น ไพ่ กร๊าฟ...
เลข ๗ ตัว...ซึ่งที่จริง ตัวเลข กับดวงดาว ก็มีส่วนสัมพันธ์กันอยู่แล้วชนิดที่เรียกว่า แยกกัน
ไม่ออก...โดยเฉพาะในวิชาเลขศาสตร์ ก็จัดว่ามีความแม่นยำไม่น้อยหน้าใครเขาเหมือนกัน
...ทุกประเภทถือว่าเป็นศาสตร์ด้วยกันทั้งสิ้นทุกระบบ ผมคิดว่าทุกฝ่ายจับมือกัน เข้ามาทำ
ความเข้าใจกัน ปรองดองกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันทำให้ศาสตร์ทั้งหลายรวมเป็น
น้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าว่าคิดว่าของเราดีกว่า แม่นกว่าของคนอื่นเขาเลย ช่วยกันพัฒนา
ทำให้ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งหลายได้บรรลุถึงจุดสูงสุด สุดยอดกันซะที่เถอะครับ...
...อโหรา คือ ชั่วโมง หรือชาตะ
...โหราจารย์ คือผู้ที่ทำนายทางวิชชาโหร
...โหราศาสตร์ คือตำราดูฤกษ์ดาราศาสตร์
...คำว่า"โหร" ไทยอ่านว่าโหร สันสกฤตอ่านว่า โหรา แปลว่า ...
...หมอดูฤกษ์หรือผู้ชำนาญทางดาราศาสตร์
"โหรา" แปลว่า โลกอื่น แปลความหมายได้ว่า"ทายกาลล่วงหน้า หรือว่า
... ดูอนาคตล่วงหน้า
"ศาสตร์" แปลว่า วิชาการต่างๆ
...รวมความได้ว่า โหราศาสตร์แปลว่า วิชาที่ดูอนาคตล่วงหน้า
...เห็นคำแปลที่ว่านี้กันไหมครับ เข้าทางกันทุกประเภทเลยละ!...
...สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ หัวใจของโหราศาสตร์ก็คือ การนำเอา ศาสตร์ ของวิชาการ
ครูบาอาจารย์ผู้สอนนำเอากฏเกณฑ์ที่น่ามึนงง สับสน เอามาใช้กันต่างหาก เอาตำรา
มาปู้ยี่ปู้ยำ ใช้กันอย่างสะเปะสะปะ หรือกฏเกณฑ์ต่างๆที่ล้าสมัยทำให้ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียน
ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆเพราะไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จำกันไปผิดๆเสียมาก การประสบ
ความสำเร็จจากการเรียนโหราศาสตร์เกิดขึ้นจากการพยายามจดจำหลักเกณฑ์ที่สำคัญ
ต่างๆ เช่น ทำความเข้าใจกับราศีทั้ง ๑๒ ให้ได้อีกทั้งรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆมีจักรราศี
ดวงดาว เรือนชาตา ภพเรือน ตรีโกณ จตุโกณฑ์ มุมโยค มุมเบียน มุมเล็งฯลฯ ...
...มาในปัจจุบันนี้โลกได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดูจากสมัยก่อนดูการ์ตูนเรื่อง
" ยุคจรวด " ในการ์ตูนมีบันไดเลื่อน ตอนที่ดูในตอนนั้นรู้สึกน่าเหลือเชื่อ แต่ในปัจจุบัน
ก็สามารถทำได้มาตั้งนาน-นมมาแล้ว และอีกหลายๆเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปแล้ว
อย่างสวยงามหมดจด...แต่ดั้งเดิมมาในวิชาโหราศาสตร์ก็ยังไม่มีดวงดาวที่มีความหมาย
ถึงแอร์ เพราะในสมัยก่อนประเทศเรายังไม่มีเครื่องปรับอากาศใช้กัน แต่ว่ามาในปัจจุบันมี
ใช้กันอยู่ดาษดื่นทั่วไป...
...ดังนั้นท่าน อ.ส.ไชยนันท์ก็เอาดวงดาวมาประยุกต์ว่า ดาวจันทร์หมายถึงน้ำ ดาวมฤตยู
หมายถึงเครื่องไฟฟ้า ดาวเนปจูนหมายถึง เคมีเมื่อเวลาที่ดาว ๒ จรมากุมดาว ๐ และเกี่ยว
ข้องในทางโยค หรือกุมกันกับดาวเนปจูนในเรือนอริ มรณะ วินาสน์ แปลว่า น้ำยาแอร์มี...
มีปัญหา ก็นับว่าเป็นความคิดที่แยบยลดี และถูกต้องดี...ทันสมัยมากๆนะครับ...ความจริง
เรื่องเอาดาวมารวมกันแล้วแปลความหมายออกมามีมาตั้งแต่โบราณแล้ว...
...อาทิสูตรผสมดาวของท่าน อ.พ.อ [ พิเศษ ] เอื้อน มนเทียรทอง ก็มีมานานแล้วซึ่งอยู่ใน
ตำรา " ครูโหร " ของท่าน ยังมีของท่าน อ.สิงห์โต สุริยาอารักษ์ ก็มีอยู่ในตาราโหราศาสตร์
ของท่านเช่นกัน...ระบบนี้ทางโหราศาสตร์ไทยบางสำนัก อาจจะไม่ยอมรับกันนัก...แต่ที่จริง
ผมว่า ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์สากล หรือโหราศาสตร์ไทยก็มาจากต้นตอเดียวกันนั่นแหละ
ถ้าเรารู้จักนำมาผสมกันแบบตำน้ำพริกโดยใช้ครกหิน...ก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างสนิทชิด
เชื้อเหมือนกับตำน้ำพริกเช่นกัน...
...ถึงแม้ว่าจะเป็นวิชาประเภทอื่นๆ เช่น ไพ่ยิปซี เลข ๗ ตัว กร๊าฟชีวิต ฯลฯ ถ้านำเอาความ
หมายและการผสมกันของดวงดาวเข้าไปผนวกเข้าด้วยกัน ก็น่าจะเกิดผลดี ผลงามขึ้นมา
ไม่ใช่น้อยทีเดียว...เพราะผู้ที่เป็น" โหร " หรือ " หมอดู " จุดประสงค์หลักก็คือทำนายดวง
ชาตาให้ผู้คนเหมือนกัน ผิดกันก็คือเป็นคนละแขนงเท่านั้นเอง...ผมว่า...ผู้เป็นโหรทำนาย
ดวงชาตาจากดวงดาว ฯลฯ วิชาอื่นๆก็ทำนายดวงชาตาจากสื่อต่างๆกันเช่น ไพ่ กร๊าฟ...
เลข ๗ ตัว...ซึ่งที่จริง ตัวเลข กับดวงดาว ก็มีส่วนสัมพันธ์กันอยู่แล้วชนิดที่เรียกว่า แยกกัน
ไม่ออก...โดยเฉพาะในวิชาเลขศาสตร์ ก็จัดว่ามีความแม่นยำไม่น้อยหน้าใครเขาเหมือนกัน
...ทุกประเภทถือว่าเป็นศาสตร์ด้วยกันทั้งสิ้นทุกระบบ ผมคิดว่าทุกฝ่ายจับมือกัน เข้ามาทำ
ความเข้าใจกัน ปรองดองกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันทำให้ศาสตร์ทั้งหลายรวมเป็น
น้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าว่าคิดว่าของเราดีกว่า แม่นกว่าของคนอื่นเขาเลย ช่วยกันพัฒนา
ทำให้ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งหลายได้บรรลุถึงจุดสูงสุด สุดยอดกันซะที่เถอะครับ...
...อโหรา คือ ชั่วโมง หรือชาตะ
...โหราจารย์ คือผู้ที่ทำนายทางวิชชาโหร
...โหราศาสตร์ คือตำราดูฤกษ์ดาราศาสตร์
...คำว่า"โหร" ไทยอ่านว่าโหร สันสกฤตอ่านว่า โหรา แปลว่า ...
...หมอดูฤกษ์หรือผู้ชำนาญทางดาราศาสตร์
"โหรา" แปลว่า โลกอื่น แปลความหมายได้ว่า"ทายกาลล่วงหน้า หรือว่า
... ดูอนาคตล่วงหน้า
"ศาสตร์" แปลว่า วิชาการต่างๆ
...รวมความได้ว่า โหราศาสตร์แปลว่า วิชาที่ดูอนาคตล่วงหน้า
...เห็นคำแปลที่ว่านี้กันไหมครับ เข้าทางกันทุกประเภทเลยละ!...
...สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ หัวใจของโหราศาสตร์ก็คือ การนำเอา ศาสตร์ ของวิชาการ
บรรจุเอา ศิลปะ คือเทคนิค ลีลา ความสอดคล้อง และก็เสริมต่อด้วย สถิติ ต่างๆ
ที่ต้องรวบรวมเอาไว้...ประเด็นสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ...บุคคลนั้นจะต้องมี ญาณ พิเศษ
ในตัวอีกด้วย...จึงจะครบสูตร "หัวใจของโหราศาสตร์ " อย่างแท้จริง...
ที่ต้องรวบรวมเอาไว้...ประเด็นสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ...บุคคลนั้นจะต้องมี ญาณ พิเศษ
ในตัวอีกด้วย...จึงจะครบสูตร "หัวใจของโหราศาสตร์ " อย่างแท้จริง...